ราคา Bitcoin ขึ้นลงเพราะอะไร ใช่เจ้ามือหรือเปล่า?

ราคา Bitcoin ขึ้นลงเพราะอะไร ใช่เจ้ามือหรือเปล่า?

สินทรัพย์ชนิดอื่น ๆ เช่น หุ้นคำ ทอง อสังหาฯ น้ำมัน ก็มีการขึ้นลงของราคา แล้วแต่ช่วงเวลา ซึ่งก็จะมีสาเหตุและปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาแตกต่างกันไป ดังนั้น ราคา Bitcoin ขึ้นลงเพราะอะไร  Ctyptocurrency อื่น ๆ หละ? เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าอะไรที่ทำให้ราคาขึ้นและลง?

ในบทความนี้ Eaforexcenter ได้สรุปปัจจัยหลัก ๆ ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงราคาไว้แล้ว จะเหมือนหรือต่างจากสินทรัพย์อื่น ๆ ยังไงบ้าง ไปอ่านพร้อมกันได้เลย

อย่ายอมแพ้ต่อความยากลำบาก เพราะความยากลำบากคือสิ่งที่จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น


ความต้องการ (อุปสงค์ อุปทาน)

อุปสงค์ อุปทาน  เป็นปัจจัยพื้นฐานหลักที่ส่งผลต่อราคา Crypto หรือจริง ๆ แล้วก็กับทุกอย่าง ว่าแต่คำว่า อุปสงค์ และ อุปทาน มันมีความหมายว่าอะไร?

อุปสงค์ (Demand) คือ ความต้องการในการ ซื้อสินค้าเมื่อสินค้านั้นมีราคาต่ำลง และจะซื้อน้อยลงเมื่อสินค้ามีราคาสูงขึ้น “อุปสงค์สูง ราคาจะสูงตาม”

อุปทาน (Supply) คือ ความต้องการในการ ขายสินค้าเมื่อสินค้านั้นมีราคาสูงขึ้น และจะขายน้องลงเมื่อสินค้ามีราคาต่ำลง “อุปทานสูง ราคาจะต่ำ”

โดยปกติแล้ว ทั้งสองอย่างนี้มักเดินสวนทางกัน ตัวอย่างเช่น เมื่ออุปทานต่ำ อุปสงค์จะสูง เมื่ออุปทานสูง อุปสงค์จะต่ำ ถ้าจะให้เห็นภาพมากกว่านี้ สมมุติว่าตลาดแห่งหนึ่งมีร้านขายน้ำส้ม A อยู้ร้านเดียว ทุกคนที่ไปตลาดนั้นถ้าจะซื้อน้ำส้มต้องมาที่ร้านนี้ แปลว่าความต้องการในการซื้อน้ำส้ม (อุปสงค์) ของร้านนี้สูง เจ้าของร้าน A เลยปรับราคาขายให้สูงขึ้นเพื่อหวังกำไรมากขึ้น โดยที่ลูกค้าอาจจะซื้อเหมือนเดิม หรือจะซื้อน้อยลงเพราะราคาแพงขึ้นก็ได้

รูปที่ 1 อุปสงค์ คือ ความต้องการขายสินค้าที่มี อุปทาน คือ ความต้องการในการซื้อสิ้นค้า เปรียบเหมือนการซื้อน้ำส้มที่เราซื้อกันทั่วไป
รูปที่ 1 อุปสงค์ คือ ความต้องการขายสินค้าที่มี อุปทาน คือ ความต้องการในการซื้อสิ้นค้า เปรียบเหมือนการซื้อน้ำส้มที่เราซื้อกันทั่วไป

ต่อมามีร้านน้ำส้ม B มาเปิดที่ตลาดเหมือนกัน หมายความว่า ความต้องการขาย (อุปทาน) ในการขายน้ำส้มมากขึ้น เพราะตอนนี้มีถึง 2 ร้าน ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น  เลยไปซื้อน้ำส้มของร้าน B ที่ถูกกว่า ทำให้อุปสงค์ของร้าน A น้อยลง ทำให้ร้าน A ต้องปรับราคาลงมาเพื่อให้ลูกค้ากลับมาซื้อของตัวเอง

นอกจากนี้ยังมี อุปสงค์ส่วนเกิน คือการที่มีความต้องการซื้อมากกว่าของที่มีในตลาด ทำให้ของขาดตลาด วิธีแก้คือ ผลิตให้ทันความต้องการ ส่วนอุปทานส่วนเกิน คือ มีของมากเกินความต้องการ ทำให้เหลือค้างตลาด วิธีแก้คือ อาจจะลดราคาเพื่อเพิ่มอุปสงค์ในการระบายของออก

ในกรณีของ Bitcoin ที่มีจำนวนแค่ 21 ล้าน BTC หมายความว่ามีอุปทานต่ำ และจำกัด และมีอุปสงค์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกปี เมื่อของมีจำกัด แต่คงต้องการมากขึ้น เลยทำให้ราคาของ Bitcoin ปรับตัวสูงขึ้นในทุก ๆ ปีนั่นเอง

การนำไปใช้งานจริง

อย่างที่เราเคยได้พูดไปบ้างแล้วในบทความอื่นๆ ว่า การที่เหรียญนั้นจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาได้นั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้งานในเหรียญนั้น ซึ่งแต่ละเหรียญก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อมีเป้าหมายของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนแบบ P2P และในปัจจุบันยังใช้เป็นสินทรัพย์ในการลงทุนของทั้งนักลงทุนรายย่อย และสถาบันการลงทุนทั่วโลก

 เหรียญ ETH ของ Ethereum blockchain ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มให้เหล่า developer ได้สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ที่ต่อยอดมาจาก Bitcoin blockchain ได้ ซึ่งก็มีผู้ใช้งานมากเป็นอันดับต้นๆของโลก

 เหรียญ Altcoin อื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน หากว่าเหรียญนั้นสามารถเอาไปทำประโยชน์ต่อได้ ก็มีแนวโน้มที่เหรียญนั้นจะได้รับความนิยม และมีคนเข้ามาซื้อเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาสูงขึ้นได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเหรียญนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาต่อ ผู้คนก็จะเริ่มหมดความสนใจและเริ่มขายเหรียญทิ้งไป

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Cryotocurrency ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคา เพราะเกี่ยวข้องกับแต่ละประเทศ ที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคน หากมีประเทศที่เปิดกว้างและให้การสนับสนุนในการใช้ Cryptocurrency ก็จะทำให้มีผู้ใช้งานมากขึ้น อย่างประเทศ เอลซัลวาดอร์ ที่ได้ประกาศใช้ Bitcoin ในการใช้จ่ายในประเทศได้อย่างถูกกฎหมายเป็นประเทศแรกของโลก

รูปที่ 2 กฎหมายที่เปิดกว้างและสนับสุน จะช่วยส่งผลให้มีการใช้งาน Crypto มากขึ้น ทำให้ราคาสูงขึ้น แต่ก็ต้องมีการคิดมาอย่างรอบคอบก่อนจะมีกฎหมายออกมา และอาจมีข้อจำกัดบางอย่างที่ต้องปฏิบัติตาม
รูปที่ 2 กฎหมายที่เปิดกว้างและสนับสุน จะช่วยส่งผลให้มีการใช้งาน Crypto มากขึ้น ทำให้ราคาสูงขึ้น แต่ก็ต้องมีการคิดมาอย่างรอบคอบก่อนจะมีกฎหมายออกมา และอาจมีข้อจำกัดบางอย่างที่ต้องปฏิบัติตาม

แต่ก็ยังมีบางประเทศที่ห้ามการใช้งาน Cryptocurrency อย่างเด็ดขาด เช่น ประเทศจีน ที่ธนาคารกลางของประเทศจีนได้มีการประกาศออกมาเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2564 ว่า การทำธุรกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency ถือเป็นสิ่งกฎหมาย รวมไปถึงการขุดเหมือง Bitcoin ด้วย ทำให้ ณ เวลานั้นราคาของ Bitcoin และเหรียญอื่น ๆ ตกลงไป

Tips: ข่าวล่าสุดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2022 ศาลในประเทศจีนในเมืองหางโจว ได้มีการเอ่ยถึง NFT ว่า ควรได้รับการปกป้องภายใต้กฎหมาย E-Commerce ของประเทศจีน และพยามเฝ้าระวัง และป้องกันไม่ให้ประชาชนมีการเก็งกำไรจาก NFT

ข่าวสาร

หลักการง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวทางตรง หรือทางอ้อม ข่าวร้ายทำให้ราคาตก ข่าวดีทำให้ราคาขึ้น ข่าวทางตรงตัวอย่างเช่น ประเทศจีนประกาศแบน Bitcoin หรือ มีสถาบันลงทุนใหญ่เข้าซื้อหรือขาย Bitcoin จำนวนมาก หรือ กระเป๋าวาฬมีการเคลื่อนไหว เป็นต้น ข่าวทางอ้อม อย่างเช่น ข่าวสงคราม ข่าวภัยพิบัติ ข่าวเศรษฐกิจ เป็นต้น อย่างการล่มสลายของ FTX ก็มาจากข่าวที่ถูกปล่อยออกมา และส่งผลกระทบถึงนักลงทุนที่ถือเหรียญอยู่

แต่ทั้งนี้ ความน่ากลัวอยู่ที่ ข่าวปลอม ที่อาจจะถูกปล่อยมาจากบุคคล หรือกลุ่มคน เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง ทำให้เกิดการขยับของราคา เช่น ให้ราคาตกลงมาเพื่อช้อนซื้อ หรือ ให้ขยับขึ้นไปเพื่อขายทำกำไร เพราะฉะนั้นแล้วเราต้องมีการกรองข่าวสารที่ดี หาข่าวจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ และมีแผนรองรับการลงทุนที่ดีเตรียมไว้ด้วย

สรุป

จากปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่แล้วมักจะโยงกลับไปที่อุปสงค์-อุปทาน ที่เรายกตัวอย่างมาเป็นเพียงปัจจัยบางส่วน ในความจริงแล้วมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาอีก แต่ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยไหนก็ตาม เราควรมีความรอบคอบในการลงทุน มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี (risk management) และมีการจัดการด้านการเงินที่ดี (money management) ที่ดี เพื่อให้อยู่รอดในตลาดได้อย่างมั่นคง และยาวนาน

อ้างอิง

https://www.china-briefing.com/news/

https://cointelegraph.com/news/chinese-court-says-nfts-are-virtual-property-protected-by-law

https://www.bitkub.com/blog/bitcoin-43aef23be344

https://moneyclass.co/bitcoin-

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *