Cryotocurrency คือ มีความหมายตามบัณฑิตยสถาน มีความหมายว่า “สกุลเงินเข้ารหัส” เกิดจากการรวมคำระหว่าง Cryptography (การเข้ารหัส) และ Currency (สกุลเงิน) แต่เราจะรู้จักกันในความหมายว่า Cryoto currency คือ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) หรือ สกุลเงินดิจิทัล (Digital currency)
Cryoto currency เป็นสื่อกลางที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้า หรือมูลค่าต่างๆในโลกของ Blockchain ซึ่งจะคล้ายกับการใช้สกุลเงินจริงทั่วๆไป (Fiat currency) เหมือนที่เราใช้กันทุกวันนี้ แต่ต่างกันตรงที่อยู่ในโลกดิจิทัล ซึ่งไม่สามารถจับต้องได้
Cryptocurrency คือ ? ต่างจาก สกุลเงินปกติอย่างไร
- “Fiat currency” หรือ เงินเฟียต ที่เราเคยได้ยินกัน เป็นสกุลเงินทั่วไปที่ใช้กันในแต่ละประเทศ ที่จะถูกผลิตโดยรัฐบาล และธนาคารของแต่ละประเทศ ใช้สำหรับซื้อ-ขาย และชำระหนี้ได้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบ ธนบัตรกระดาษ เหรียญ และสมัยนี้อยู่ในรูปแบบออนไลน์เพิ่มเข้ามาด้วย ไม่ได้มีสินทรัพย์อื่นมารองรับมูลค่าของค่าเงินนั้น แต่จะใช้สมดุลระหว่าง อุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) แทน
- “Crypto currency” หรือ สกุลเงินดิจิทัล ก็ทำหน้าที่เหมือนกับเงินเฟียต แต่ต่างกันที่แหล่งที่มา บุคคลทั่วไป หรือเอกชนสามารถเป็นผู้ผลิตสกุลเงินเองได้ อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ไม่สามารถจับต้องได้ และมูลค่าของสกุลเงินนั้นๆ จะขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่เข้ามาใช้งเงินสกุลนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถใช้ ซื้อ-ขาย ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (ยกเว้นประเทศเอลซัลวาดอร์) แต่หากในการซื้อ-ขาย ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้สกุลเงินดิจิทัล ก็สามารถทำการซื้อขายได้ปกติ แต่การชำระหนี้ก็ยังไม่สามารถได้
Cryptocurrency และ หุ้น ต่างกันอย่างไร
ก่อนที่จะไปดูจุดที่ต่างกัน เรามาดูจุดที่เหมือนกันก่อน สิ่งที่ Crypto และ หุ้น เหมือนกันคือ ในการซื้อ-ขาย ต้องผ่านกระดานเทรด หรือ พลาตพอร์มต่างๆ (Exchange) และราคาขึ้น-ลงตามอุปสงค์และอุปทานเหมือนกัน ส่วนจุดที่ต้องกันนั้นมีหัวข้อดังนี้
สิทธิความเป็นเจ้าของ
หุ้น : เมื่อเราซื้อหุ้น เราจะมีสถานะเป็น “ผู้ถือหุ้น” เราจะเสมือนเป็นหนึ่งในเจ้าของธุรกิจ หรือบริษัทที่เราซื้อหุ้นนั้นๆ หมายความว่าเรามีสิทธิที่จะออกเสียง โหวต หรือเข้าร่วมประชุมต่างได้
Crypto : เมื่อเราซื้อเหรียญสกุลนั้น ไม่ว่าจะซื้อมากหรือน้อยแค่ไหน เราจะเป็นเจ้าของเฉพาะแค่เหรียญที่เราซื้อเท่านั้น แต่สามารถนำเหรียญไปใช้ทำอย่างอื่นได้ต่อตามวัตถุประสงค์ของเหรียญนั้นๆ
เงินปันผล
หุ้น : มีทั้งแบบ จ่ายเงินปันผล และ ไม่จ่ายเงินปันผล แล้วแต่นโยบายของหุ้นตัวนั้นๆ
Crypto : จะไม่มีการจ่ายเงินปันผล แต่สามารถนำเหรียญที่ซื้อฝาก (Staking) ไว้ในแพลตฟอร์มนั้นๆ หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ และจะสร้างผลตอบแทนที่คล้ายกันเงินปันผลได้
เวลาซื้อ-ขาย
หุ้น : ตลาดหุ้นจะมีเวลาเปิด-ปิด ซึ่งเวลาจะต่างกันไปแล้วแต่ตลาดของประเทศนั้นๆ เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei) สามารถซื้อ-ขายได้ตั้งแต่ 7.00-13.00 น. ตามเวลาประเทศไทย และตลาดหุ้นไทยสามารถซื้อ-ขายได้ตั้งแต่ 10.00-16.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
Crypto : สามารถเทรดซื้อ-ขายได้ตลอด 24ชั่วโมง ไม่มีเวลาปิด
สกุลเงินที่ใช้เทรดซื้อ-ขาย
หุ้น : ต้องใช้สกุลเงินจริง (Fiat) ของตลาดนั้นๆ เช่น ตลาดหุ้นไทยใช้เงินเบาท ตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้เงินเยน
Crypto : ต้องน้ำเงินจริงไปแปลงเป็นสกุลดิจิทัลต่างๆก่อน แต่ก็สามารถเลือกได้หลากหลายเหรียญ
ความผันผวนของราคา
หุ้น : ตามกฎของ กลต. (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ได้มีการควบคุมความผันผวนของราคาหุ้นในตลาด ให้มีราคาเพดาน (Celling) และ ราคาพื้น (Floor) อยู่ที่ไม่เกิน +-30% จากราคาปิดของวันก่อนหน้า เพื่อป้องกันการลากราคา และเทขายหุ้น
Crypto : ไม่มีการจำกัด Celling และ Floor โดยใครทั้งสิ้น ราคาเหรียญสามารถวิ่งขึ้นลงได้อย่างอิสระ สามารถขึ้นไปได้ +1,000% หรือ จะลงมา -100% ก็สามารถเป็นไปได้ และเกิดขึ้นจริงแล้วในบางครั้ง
Cryptocurrency และ Digital Token ต่างกันอย่างไร
Cryptocurrency
เป็นเหรียญที่ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นในเครือข่าย blockchain ของตัวเอง และเป็นสื่อกลางที่ใช้ซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนมูลค่าภายใน เป็นเหมือนสกุลเงินของ blockchain นั้นๆ เช่น blockchain ของ Bitcoin ก็จะมีเหรียญ BTC, blockchain ของ Ethereum มีเหรียญ ETH, blockchain ของ Binance มีเหรียญ BNB
Digital Token
เป็นเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นภายใน blockchain ที่มีอยู่แล้ว แต่จะมีวัตถุประสงค์ของเหรียญที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า แต่ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละเหรียญ สามารถแบ่งออกมาเป็น 4 ประภท Token ได้ดังนี้
1.Utility Token
เมื่อเราถือเหรียญประเภทนี้แล้ว เราจะได้เข้าถึงสิทธิพิเศษ สินค้า หรือสิทธิพิเศษบางอย่างที่แพลตฟอร์มนั้นเตรียมไว้ให้ได้ เหมือนเป็นบัตรผ่าน หรือคูปองในการเข้าถึงฟังก์ชันส่วนต่างๆ
2.Investment Token
สามารถนำเหรียญไปลงทุน หรือสร้างผลตอบแทนเพิ่มภายในแพลตฟอร์มนั้นๆได้ เพื่อรับเงินปันผล หรือกำไรจากการนำไปลงทุน ซึ่งอาจจะเป็นการ ฝาก (Staking) หรือ ปล่อยเช่า (Lending) ก็ได้
3.Security Token
การนำสินทรัพย์ในโลกจริง มาทำการตีค่าเป็น Token (Tokenization) เช่น อสังหาฯ เพื่อเปิดโอกาสให้คนส่วนใหญ่เป็นเจ้าของสินทรัพย์ได้ง่ายขึ้น
4.NFT (Non Fungible Token)
ลักษณะเด่นคือ เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเฉพาะตัว เป็นชิ้นเดียวในโลก ไม่เหมือนใคร ส่วนใหญ่จึงนำมาใช้กับศิลปะ เรียกว่า Crypro Art
ประเภทของ Cryptocurrency (ฉบับย่อ)
มีเหรียญเป็นหมื่นๆเหรียญที่อยู่ใน Blockchain และ Defi และตัวเลขไม่เคยคงที่ เพราะว่ามีเหรียญเกิดใหม่ทุกวัน และก็มีเหรียญที่ตายจากไปทุกวัน แต่เราสามารถแบ่งแยกประเภทของเหรียญได้เป็นกลุ่มหลักๆ ดังนี้
ประเภท Store of value
เหรียญกลุ่มนี้จะสามารถเพิ่มกำลังซื้อได้เมื่อเวลาผ่านไป และมี Supply ที่จำกัด
ตัวอย่างเหรียญ : BTC BCH TUSD
ประเภท Stable coin
เป็นเหรียญที่มีมูลค่าคงที่ หรือมีความผันผวนน้อยมาก โดยมักจะอ้างอิงมูลค่าจากสินทรัพย์จริงที่อยู่เบื้องหลังเช่น สกุลเงินเฟียตต่างๆ (Fiat)
ตัวอย่างเหรียญ : USDT BUSD USDC DAI
ประเภท Smart contract
เป็นเหรียญที่ถูกพัฒนาขึ้นใน blockchain ของตัวเอง สามารถใช้ ”สัญญาอัจฉริยะ” (Smart contract) และต่อยอดการใช้งานอื่นๆได้
ตัวอย่างเหรียญ : ETH BNB SOL ADA
ประเภท Defi (Decentralized Finance)
เป็นเหรียญพี่ถูกสร้างขึ้นใต้ Blockchain ที่มีอยู่แล้ว จึงจะเรียกว่า “โทเคน” (Token) มีจุดประสงค์การใช้แตกต่างกัน และส่วนมากใช้ได้กับเฉพาะแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ตัวอย่างเหรียญ : CAKE UNI AVAX
ประเภท Game-fi
เป็นเหรียญที่ไว้ใช้ในเกมส์ หรือ โลกเสมือนจริง (Metavers)
ตัวอย่างเหรียญ : ASX SAND GALA
ประเภท Meme
สร้างมาโดยไม่มีจุดประสงค์อะไรเป็นพิเศษ เน้นสนุก ตลก ไม่มีการใช้งานจริง!
ตัวอย่างเหรียญ : DOGE SHIB
ประเภท CBDC
เงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเช่นเดียวกับสกุลเงิน Fiat
ประโยชน์ของ Cryptocurrency
- รวดเร็วและง่าย เพราะทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นในโลกของ Blockchain จะอยู่ในรูปแบบดิจิทัลทั้งหมด และไม่มีกำแพงเรื่องประเทศ ไม่ต้องทำเอกสารยุ่งยากและเสียเวลา
- ต้นทุนต่ำ ถ้าเปลี่ยนเทียบกับการโอนเงินระหว่างประเทศ ถือว่าค่าธรรมเนียมถูกกว่าหลายเท่า
- เปิดตลอด 24 ชั่วโมง หากต้องการซื้อ-ขาย สามารถทำได้ทุกเวลา ไม่ต้องรอธนาคาร หรือ ที่แลกเงินเปิดก่อน
- ป้องกันเงินเฟ้อได้ จากที่เราได้เห็นหลายๆบริษัทใหญ่เริ่มเข้ามาซื้อและถือ Bitcoin กันมากขึ้น เพราะมี supply ที่จำกัน ไม่เหมือนเงิน Fiat ทั่วไป
- โปร่งใส และ ปลอดภัย ด้วยคุณสมบัติและความสามารถของ Blockchain ทำกให้ธุรกรรมที่ถูกบันทึกลงไปมีความปลอดภัย ไม่สามารถลบ หรือแก้ไขได้
สรุป
ด้วยความที่ Cryptocurrency มีหลากหลายรูปแบบ ทำให้เราเลือกลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น เลือกเหรียญที่เหมาะกับการลงทุนในรูปแบบของตัวเองได้ แต่อย่าลืมที่จะศึกษาเหรียญที่กำลังจะลงทุนให้ดี เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะทำให้เราเสียผลประโยชน์ได้
อ้างอิง
https://money.kapook.com/view254458.html
https://www.thansettakij.com/finance/514567
https://www.finnomena.com/planet46/what-is-cryptocurrency/#h-4
https://www.finspace.co/เวลาเปิด–ปิดตลาดหุ้นโลก
"เริ่มต้นอย่างช้าๆ แต่ชัดเจน"
ให้เราได้ดูแลคุณ...
eaforexcenter.com