Margin และ Margin Call มีความสำคัญอย่างไรกับการใช้ Robot Trade

margin กับ Robot trade

ในยุคที่เทคโนโลยีการเทรดก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เทรดเดอร์จำนวนมากหันมาใช้ระบบอัตโนมัติหรือที่เรียกว่า “Robot Trade” หรือ “Expert Advisor (EA)” เพื่อช่วยในการวิเคราะห์และเปิด/ปิดออเดอร์ในตลาด Forex อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Robot จะมีความสามารถในการประมวลผลและทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่สิ่งที่ไม่อาจละเลยได้คือ “พื้นฐานการบริหารความเสี่ยง” ซึ่งรวมถึงองค์ประกอบสำคัญอย่าง “Margin” และ “Margin Call”

การเข้าใจระบบ Margin อย่างถ่องแท้จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของทฤษฎีทางการเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องพอร์ตการลงทุนจากการล้างพอร์ต (Account Blow) โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ EA ซึ่งหากตั้งค่าโดยไม่มีการควบคุม Margin อย่างรัดกุม ก็อาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรุนแรงได้ภายในเวลาอันสั้น

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจตั้งแต่ความหมายของ Margin และ Margin Call ไปจนถึงวิธีการบริหารจัดการ Margin สำหรับ Robot Trade อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณสามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาวได้

 

“แม้ว่า Robot Trade จะทำงานแทนคุณได้ แต่ก็ไม่สามารถตัดสินใจด้านจิตวิทยาและความเสี่ยงแทนคุณได้”

 

สารบัญ บทความ

Margin คืออะไร?

Margin คือ จำนวนเงินที่โบรกเกอร์กำหนดให้เทรดเดอร์วางไว้เป็นหลักประกันเพื่อเปิดออเดอร์ในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น คู่สกุลเงินในตลาด Forex หุ้น หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะในระบบ Leverage ที่เปิดโอกาสให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมปริมาณการซื้อขายที่ใหญ่กว่าทุนของตนเองหลายเท่า การเข้าใจ Margin อย่างลึกซึ้งจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการลดความเสี่ยงในการเทรดครับ

ประเภทของ Margin ที่ควรรู้

  1. Required Margin คือ จำนวนเงินที่ถูกล็อคไว้ต่อการเปิดออเดอร์แต่ละรายการ
    • ตัวอย่าง: ถ้าเปิดออเดอร์ 1 lot ของ EUR/USD ที่ใช้ Leverage 1:100 และมูลค่าต่อ lot คือ $100,000 คุณต้องมี Required Margin $1,000
  2. Used Margin คือ ผลรวมของ Required Margin จากทุกออเดอร์ที่เปิดอยู่
  3. Free Margin = Equity – Used Margin : หมายถึงเงินที่ยังสามารถใช้ในการเปิดออเดอร์ใหม่ได้ หรือใช้รองรับการขาดทุนชั่วคราว
  4. Margin Level (%) = (Equity / Used Margin) × 100 : เป็นตัวชี้วัดความปลอดภัยของพอร์ต ถ้าระดับ Margin ต่ำกว่าเกณฑ์ที่โบรกเกอร์กำหนด (เช่น 100% หรือ 50%) ระบบจะส่ง Margin Call หรือปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติ (Stop Out)

ตัวอย่างการคำนวณ Margin

  • เงินทุน (Balance) = $10,000
  • เปิดออเดอร์ 1 lot EUR/USD
  • Leverage 1:100 → Required Margin = $1,000
  • ถ้าราคาขยับผิดทางจน Equity เหลือ $1,500 
    • Used Margin = $1,000
    • Free Margin = $500
    • Margin Level = (1,500 ÷ 1,000) × 100 = 150%

กรณีนี้ยังไม่ถึงระดับที่โดน Margin Call แต่หากราคาขยับผิดทางมากกว่านี้ Margin Level จะลดลงเรื่อย ๆ

ความสำคัญของ Margin ต่อ EA (Robot Trade)

EA หรือ Robot Trade จะเปิดออเดอร์ตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้โดยไม่สนใจสภาวะ Margin เว้นแต่มีการเขียนระบบควบคุมความเสี่ยงอย่างชัดเจน ดังนั้น หากขาดความรู้เรื่อง Margin อาจทำให้ EA เปิดออเดอร์มากเกินไป จนนำไปสู่การโดน Margin Call โดยไม่รู้ตัว

 

Margin Call คืออะไร?

Margin Call คือ คำเตือนจากโบรกเกอร์ที่แจ้งว่าเงินทุนในบัญชีของคุณใกล้จะไม่เพียงพอในการรองรับออเดอร์ที่เปิดอยู่แล้ว หากคุณไม่เติมเงินเข้าไปเพิ่มหรือปิดออเดอร์บางส่วน ระบบอาจดำเนินการบังคับปิดออเดอร์ (Stop Out) โดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีติดลบ

เมื่อไรถึงจะโดน Margin Call?

Margin Call มักเกิดขึ้นเมื่อ Margin Level ลดลงต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด (เช่น 100%) ซึ่งหมายความว่า Equity ในบัญชีมีค่าใกล้เคียงกับ Used Margin แล้ว และระบบต้องการให้คุณเพิ่มเงินเพื่อให้ยังสามารถถือออเดอร์ต่อไปได้

ตัวอย่าง:

  • Equity = $1,000
  • Used Margin = $1,000
  • Margin Level = 100% → โบรกเกอร์แจ้งเตือน Margin Call
  • ถ้าราคาขยับผิดทางอีกเล็กน้อย → Margin Level < 50% → โดน Stop Out

Stop Out คืออะไร?

Stop Out Level คือระดับ Margin ที่ต่ำมากจนโบรกเกอร์จะบังคับปิดออเดอร์ที่ขาดทุนมากที่สุดทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ยอด Equity ติดลบ

ตัวอย่าง: ถ้า Stop Out Level = 50% และ Margin Level เหลือ 49% ระบบจะเริ่มปิดออเดอร์ที่ขาดทุนทีละรายการอัตโนมัติ จนกว่า Margin Level จะกลับมาอยู่ในระดับปลอดภัย

ความสำคัญของ Margin Call ต่อ EA (Robot Trade)

หากคุณใช้ Robot Trade โดยไม่มีระบบจัดการความเสี่ยง เช่น ไม่มีการตั้ง Stop Loss หรือเปิดออเดอร์ซ้อนจำนวนมากโดยไม่จำกัด การขาดทุนสะสมอาจทำให้ Margin Level ลดลงเร็วมาก และนำไปสู่ Margin Call หรือ Stop Out ได้ภายในไม่กี่วินาที

ที่สำคัญคือ EA ไม่มีสัญชาตญาณในการ "หยุด" เหมือนมนุษย์ มันจะยังทำงานตามที่ตั้งไว้แม้ว่า Margin จะอยู่ในภาวะวิกฤต จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ใช้งานต้องเข้าใจกลไกของ Margin Call และควบคุมมันผ่านระบบป้องกัน เช่น Max Drawdown, Max Orders, หรือ Auto Lot Control


ทำไมการบริหาร Margin จึงสำคัญสำหรับ Robot Trade

ในระบบการเทรดแบบอัตโนมัติอย่าง Robot Trade หรือ EA นั้น แม้จะมีข้อดี คือ สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แต่ข้อจำกัดที่สำคัญคือ Robot ไม่มีความสามารถในการ “ตัดสินใจตามสถานการณ์” เมื่อเกิดความผันผวนในตลาด โดยเฉพาะในด้านการบริหาร Margin

รูปที่ 1 ตัวอย่าง EA / Robot ที่ยังไม่ค่อยดี เพราะระดับ Margin น้อยโคตรๆ มีโอกาสแตกได้

1. Robot ไม่มีวิจารณญาณด้านความเสี่ยง

มนุษย์สามารถสังเกตพฤติกรรมราคา และเลือกที่จะ “หยุดเทรด” หรือ “ลดขนาด Lot” เมื่อตลาดผันผวน แต่ Robot จะทำตามสูตรและคำสั่งเท่านั้น หากไม่ได้ตั้งข้อจำกัดไว้ มันอาจเปิดออเดอร์อย่างต่อเนื่องจน Margin หมดโดยไม่รู้ตัว

2. Leverage สูง = Margin ต่ำ = ความเสี่ยงสูง

หลายคนเลือกใช้ Leverage สูง เช่น 1:1000 เพื่อให้ใช้เงินทุนต่ำเปิดออเดอร์ใหญ่ได้ แต่ลืมไปว่า Margin ที่ต่ำเกินไปทำให้พอร์ตเสี่ยงต่อการล้างบัญชีเร็วมากเมื่อราคาเคลื่อนไหวผิดทาง และ Robot ก็ไม่สามารถประเมินความเสี่ยงนี้ได้ด้วยตัวเอง

3. การเปิดออเดอร์ซ้อนอัตโนมัติ

Robot บางตัว เช่น Grid EA หรือ Martingale EA มีการเปิดออเดอร์ซ้อนเพื่อแก้พอร์ต โดยไม่คำนึงถึง Free Margin ที่เหลืออยู่ หากไม่มีการควบคุมจำนวนออเดอร์สูงสุด (Max Order) หรือไม่มีการคำนวณ Margin Level ก่อนเปิดออเดอร์ใหม่ ย่อมเสี่ยงโดน Margin Call อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

4. การขาด Margin คือการทำให้ Robot “หมดพลังงาน”

เปรียบเสมือนการขับรถที่น้ำมันหมดกลางทาง… แม้เครื่องยนต์จะดีแค่ไหน ถ้าน้ำมันหมด รถก็ไปต่อไม่ได้... Robot ที่มีระบบเทรดแม่นแค่ไหน หาก Margin ไม่พอ หรือไม่มีการป้องกัน Margin Call ก็ไม่สามารถทำกำไรได้ในระยะยาว เพราะสุดท้ายพอร์ตจะโดน Stop Out

5. สัญญาณของระบบบริหาร Margin ที่ดีใน EA

  • มีการตั้งค่า Max Drawdown เป็นเปอร์เซ็นต์ของ Equity
  • มีระบบ Auto Lot Sizing โดยอิงจากทุน
  • มีการคำนวณ Free Margin ก่อนเปิดออเดอร์ใหม่
  • มีเงื่อนไขหยุดการเทรดเมื่อ Margin Level ต่ำ
  • มีการควบคุม จำนวนออเดอร์สูงสุด (Max Trades)
รูปที่ 2 ตัวอย่างการตั้ง Lot sizing แบบอิงต้นทุน ใน fxDreema

กลยุทธ์ป้องกัน Margin Call สำหรับ Robot Trade

หนึ่งในสาเหตุหลักที่บัญชีเทรดถูกล้าง (Stop Out) จากการใช้ Robot Trade มักมาจากการ “ละเลยระบบบริหาร Margin” ดังนั้นการออกแบบกลยุทธ์เพื่อป้องกัน Margin Call อย่างเป็นระบบถือเป็นหัวใจสำคัญของการใช้งาน EA อย่างปลอดภัยในระยะยาว

1. ใช้ขนาด Lot ที่สัมพันธ์กับเงินทุน (Auto Lot Sizing)

การตั้งค่าขนาด Lot ให้สัมพันธ์กับ Balance หรือ Equity ช่วยควบคุมความเสี่ยงไม่ให้เกินขอบเขต

  • ตัวอย่าง: ตั้งให้เทรด 01 Lot ต่อทุน $1,000
  • หากทุนลดลง ระบบจะเปิด Lot น้อยลงอัตโนมัติ → ลดโอกาสโดน Margin Call

Tips : EA บางตัวก็มีฟังก์ชัน Lots = RiskPercent x Equity / StopLoss(Pips) เพื่อควบคุมความเสี่ยงอิงจาก Stop Loss

2. กำหนด Stop Loss อย่างมีเหตุผล

การไม่มี Stop Loss เท่ากับเปิดโอกาสให้ขาดทุนลึกเกินควบคุม ดังนั้น Robot ควรมีการตั้ง Stop Loss ที่สัมพันธ์กับโครงสร้างราคา เช่น

  • SL ระยะสั้น: 20–30 pips สำหรับกลยุทธ์ Scalping
  • SL ระยะกลาง–ยาว: ตั้งตาม Swing High/Low หรือ ATR

การใช้ Stop Loss ที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยลดการขาดทุน แต่ยังช่วยรักษา Margin ให้อยู่ในระดับปลอดภัย

3. จำกัดจำนวนออเดอร์ (Max Open Trades)

หาก Robot สามารถเปิดออเดอร์ซ้อนโดยไม่จำกัด จะเสี่ยงมากหากราคาเคลื่อนไหวผิดทิศทาง

วิธีป้องกัน:

  • ตั้ง Max Orders = 3 หรือ Max Lot Size ไม่เกิน 20% ของทุน
  • ใช้ระบบ Filter เช่น RSI/Trend Filter ป้องกันเปิดออเดอร์สวนเทรนด์ ซึ่งหากต้องการ Trend Filter ดีๆ ซักตัวใช้ผมแนะนำให้ลองเรียนใน คอร์สสอนเขียน ea ด้วย fxDreema ได้เลยครับ รับรองว่าคุ้มทุกบาททุกสตางค์ (คลิ๊กเพื่อดูรายละเอียด)

4. ตั้งค่า Drawdown Limit

การควบคุม Drawdown ช่วยหยุดระบบเมื่อขาดทุนเกินเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เช่น

  • Stop EA หาก Drawdown > 30%
  • ใช้ระบบ Soft Stop หรือ Trailing Drawdown เพื่อหยุดระบบชั่วคราวหากตลาดไม่เป็นใจ

5. ตรวจสอบ Margin Level แบบ Real-time

  • Robot ที่ดีควรมีการคำนวณ Margin Level ก่อนเปิดออเดอร์ใหม่ หรือหากใช้ fxDreema ก็สามารถเลือกเช็ค Margin ได้เลยโดยไม่ต้องคำนวณ (คลิ๊กเพื่อเริ่มเรียนเขียน ea ด้วย fxDreema ฟรี)
  • บาง EA ระดับมืออาชีพสามารถ “เลื่อนการเปิดออเดอร์” จนกว่า Margin จะกลับมาสู่ระดับปลอดภัย

6. ทดสอบกลยุทธ์ในสภาพตลาดหลากหลาย (Robustness Test)

การ Backtest อย่างเดียวไม่พอ ควรทำ Stress Test เช่น

  • Random Spread Slippage
  • Forward Test ในช่วงข่าวแรง
  • Monte Carlo Simulation เพื่อตรวจสอบความเสี่ยงในการล้างพอร์ต

การทดสอบเหล่านี้ช่วยให้มั่นใจว่า EA สามารถบริหาร Margin ได้แม้ในสภาพตลาดแปรปรวน

Axi margin call
รูปที่ 3 ตัวอย่างการถูก Margin Call จาก Axi ซึ่งปกติไม่ว่าจะเป็นโบรกเกอร์ใดก็ตาม (ถ้าไม่เถื่อน) เขาจะมีการส่ง email แจ้งเมื่อ Margin เราลดลงตาม % ที่เขากำหนดไว้เพื่อเตือนให้เราทราบและเปิดโอกาสให้เราบริหารเงินในพอร์ตให้ดีครับ

ตัวอย่างสถานการณ์: Robot ที่ไม่มีการจัดการ Margin ที่ดี

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าการละเลยเรื่อง Margin อาจนำไปสู่ผลลัพธ์เลวร้ายเพียงใด มาดูตัวอย่างสถานการณ์จริงของ Robot Trade ที่ไม่มีระบบจัดการ Margin อย่างรัดกุม ซึ่งมักเกิดขึ้นกับ EA ประเภท Grid หรือ Martingale

กรณีศึกษา 1: EA Martingale เปิดออเดอร์สวนทางต่อเนื่อง

  • เริ่มต้นด้วยทุน $1,000
  • ใช้ EA ที่เปิดไม้เพิ่มเมื่อราคาเคลื่อนไหวผิดทาง (เช่น เทรด BUY แต่ราคาลง → เปิด BUY เพิ่มในราคาที่ต่ำลง)
  • เริ่มที่ Lot 0.01 และเพิ่มเป็น 02, 0.04, 0.08... โดยไม่มีการจำกัดจำนวนไม้หรือ Margin

ผลลัพธ์: หลังจากราคาเคลื่อนไหวผิดทางต่อเนื่อง 6–7 ไม้ Margin Level ลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อราคายังไม่กลับตัว → Free Margin เหลือศูนย์ → EA โดน Stop Out ทั้งหมด ล้างพอร์ตภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง

กรณีศึกษา 2: EA Grid ไม่จำกัดจำนวนออเดอร์

  • ทุน $5,000
  • ใช้ EA ที่เปิดออเดอร์ทุกๆ 20 pips โดยไม่จำกัดทิศทางและจำนวน
  • ไม่มีการคำนวณ Free Margin ก่อนเปิดไม้ใหม่
  • ไม่มี Stop Loss

ผลลัพธ์: ในช่วงข่าวแรง เช่น NFP หรือ CPI ราคาเคลื่อนที่ 150–200 pips อย่างรวดเร็ว EA เปิดออเดอร์จำนวนมากแต่ไม่มี Margin เหลือเพียงพอ → Margin Call โดน Stop Out ทั้งหมด แม้ราคาจะกลับมาหลังจากนั้น

ข้อผิดพลาดที่พบใน EA เหล่านี้

  1. ไม่มีการคำนวณ Free Margin ก่อนเปิดออเดอร์ใหม่
  2. ไม่มีระบบจำกัด Drawdown
  3. เปิดออเดอร์ตามสูตรทางคณิตศาสตร์ แต่ไม่สนใจภาวะตลาด
  4. ไม่มี Stop Loss หรือจุดตัดขาดทุนแบบกลยุทธ์
  5. ขาด Robustness Test ในตลาดจริง

สรุป

ในโลกของการเทรดอัตโนมัติ Margin เปรียบเสมือน “เชื้อเพลิง” ที่ทำให้ระบบ Robot Trade ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง หากไม่บริหาร Margin อย่างเหมาะสม การเทรดโดยใช้ EA ไม่เพียงแต่จะไร้ประสิทธิภาพ แต่ยังเสี่ยงต่อการล้างพอร์ตโดยไม่รู้ตัว

“Robot Trade จะทำงานได้เต็มศักยภาพ ก็ต่อเมื่อเราเติมเชื้อเพลิง (Margin) อย่างเพียงพอ และติดตั้งระบบเบรก (Risk Management) อย่างชาญฉลาด”

ดังนั้นการใช้ EA ให้ประสบความสำเร็จจึงไม่ใช่แค่การเลือกสูตรที่แม่นยำ แต่คือการวางโครงสร้างการจัดการความเสี่ยงไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะเรื่อง Margin ซึ่งเป็นพื้นฐานที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ครับ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Margin, Margin Call และการใช้งานร่วมกับ Robot Trade ไว้ในรูปแบบคำถาม คำตอบ ดังนี้

Q: ผลการ Backtest ควรมีค่า Margin Level กี่ % ?

A: ใช้ตารางด้านล่างนี้เป็นตัวอ้างอิงได้เลยครับ

Margin Level

ความหมาย

ความเสี่ยง

>1000%

ปลอดภัยมาก (Free Margin เหลือเยอะ)

ต่ำมาก

500–1000%

ปลอดภัย ใช้งานได้ดีในระยะยาว

ต่ำถึงปานกลาง

300–500%

เริ่มมีความเสี่ยงเมื่อเกิดความผันผวน

ปานกลาง

100–300%

อยู่ในโซนเสี่ยง Margin Call หากตลาดผันผวน

สูง

<100%

เสี่ยง Margin Call/Stop Out มาก

อันตราย

 

Q: Margin Call เกิดขึ้นเมื่อไร?

A: Margin Call จะเกิดขึ้นเมื่อ Margin Level (%) ลดลงต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด เช่น 100% หรือ 50% ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโบรกเกอร์ หาก Equity ลดลงมากจนไม่สามารถรองรับ Used Margin ได้ ก็จะเกิดการแจ้งเตือนเพื่อให้เติมเงิน หรือปิดออเดอร์บางส่วน

 

Q: ถ้ามี Free Margin เยอะ แปลว่าเปิดกี่ออเดอร์ก็ได้ใช่หรือไม่?

A: ไม่ถูกต้องเสมอไป ถึงแม้จะมี Free Margin เหลือมาก แต่หาก EA เปิดออเดอร์พร้อมกันจำนวนมากในตลาดที่ผันผวนสูง ก็ยังเสี่ยงต่อการโดน Margin Call ได้ ดังนั้น ควรมีการควบคุมจำนวนออเดอร์ (Max Orders) และจัดการ Lot Size อย่างรอบคอบ

 

Q: EA ที่ดีควรมีระบบจัดการ Margin อย่างไร?

A: Robot Trade ที่มีประสิทธิภาพควรมีคุณสมบัติดังนี้

  • ตรวจสอบ Free Margin และ Margin Level ก่อนเปิดออเดอร์
  • ตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit อย่างชัดเจน
  • มีระบบควบคุม Drawdown และจำนวนออเดอร์
  • ปรับขนาด Lot โดยอิงจากทุนปัจจุบัน (Auto Lot Scaling)
  • หยุดการเทรดเมื่อสภาวะตลาดไม่เหมาะสม

 

Q: ถ้าราคากลับตัวหลังโดน Stop Out แปลว่า EA พลาดใช่หรือไม่?

A: ไม่จำเป็น การโดน Stop Out เป็นกลไกปกติของระบบบริหารความเสี่ยง จุดประสงค์คือการปกป้องพอร์ตไม่ให้ขาดทุนเกินควบคุม หากไม่มีระบบนี้ พอร์ตอาจติดลบมากกว่านั้น การตั้ง Stop Loss หรือ Stop Out อย่างมีเหตุผลยังถือว่าดีกว่าไม่มีแผนเลย

 

Q: ควรใช้ Leverage เท่าไหร่จึงเหมาะกับ EA?

A: ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของ EA หากเป็น Scalping หรือ Day Trade Leverage 1:100–1:200 อาจเพียงพอ แต่หากเป็นระบบที่ต้องเปิดออเดอร์หลายไม้ เช่น Grid/Martingale ควรใช้ Leverage สูง เช่น 1:500–1:1000 แต่ต้องควบคุมความเสี่ยงอย่างเข้มงวด

 

อ้างอิง

  • Hull, J. C. (2021). Options, futures, and other derivatives (11th ed.). Pearson Education.
    Fabozzi, F. J., & Drake, P. P. (2009). Finance: Capital markets, financial management, and investment management. Wiley.
  • Hull, J. C. (2021). Options, futures, and other derivatives (11th ed.). Pearson Education.
    Glen, J. (2020). Financial markets and trading: An introduction to market microstructure and trading strategies. Wiley.
  • Chance, D. M., & Brooks, R. (2015). An introduction to derivatives and risk management (10th ed.). Cengage Learning.
  • Fabozzi, F. J. (2001). Bond markets, analysis and strategies (5th ed.). Prentice Hall.
  • Katsanos, E. (2009). Intermarket Trading Strategies. Wiley.
  • Glen, J. (2020). Financial markets and trading: An introduction to market microstructure and trading strategies. Wiley.
  • Bandy, R. E. (2020). Mean reversion trading systems. Blue Owl Press.
  • Raschke, L., & Connors, L. (2000). Street smarts: High probability short-term trading strategies. M. Gordon Publishing.
  • Pardo, R. (2012). The evaluation and optimization of trading strategies (2nd ed.). Wiley.
  • Pardo, R. (2012). The evaluation and optimization of trading strategies (2nd ed.). Wiley.
  • Katz, J. O., & McCormick, D. L. (2000). The encyclopedia of trading strategies. McGraw-Hill.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *