สายพื้นฐาน VS สายเทคนิค ใครเทรดเก่งกว่ากัน ?

สายพื้นฐาน VS สายเทคนิค ใครเทรดเก่งกว่ากัน?

พาดหัวอาจจะดูแบ่งแยกไปเกินไป แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิด บทความนี้ไม่ได้จะมาสรุปว่า สายพื้นฐาน VS สายเทคนิค แบบไหนดีกว่าแบบไหน หรือใครดีกว่าใคร แต่สายพื้นฐาน และสายเทคนิค เป็นสองรูปแบบที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในกลุ่มนักลงทุน เราจึงจะมาอธิบายว่า แต่ละสายมีลักษณะเด่นอย่างไร มีความเสี่ยงเรื่องด้านไหน และคนที่จะเลือกแต่ละสายต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง


นักลงทุนสายพื้นฐาน คืออะไร? 

นักลงทุนสายพื้นฐาน (Valued Investor, Foundamental Investor) คือการศึกษาทุกอย่างที่อาจจะส่งผลกับราคาของสินทรัพย์นั้น ๆ เช่น ผลประกอบการ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ซึ่งโดยปกติแล้วนักลงทุนสายพื้นฐานจะมองหาเหตุผลในเรื่องอุปสงค์และอุปทาน ที่ส่งผลถึงราคาขึ้นลงของเหรียญ และหามูลค่าที่แท้จริง ณ เวลานั้น

แต่สำหรับเหรียญคริปโทเคอเรนซี่ การหามูลค่าที่แท้จริงอาจจะทำได้ยากกว่าหุ้น เพราะไม่มีตัวเลขของผลประกอบการ ไม่มีตัวเลขรายได้ ไม่มีมูลค่าสินทรัพย์ที่ถือ และปัจจัยทางเศรษฐกิจอาจไม่ใช่ตัวแปรสำคัญต่อราคามากนัก

ดังนั้นเรามาดูกันว่าจะเป็นนักลงทุนสายพื้นฐานในคริปโทเคอเรนซี่แล้ว เราต้องศึกษาในเรื่องไหนบ้าง

การอ่าน White Paper

เหรียญส่วนใหญ่แล้วจะมีการเขียน White Paper ไว้อยู่แล้ว เพื่ออธิบายถึงวัตถุประสงค์ และรายละเอียดทางเทคนิคต่าง ๆ แม้ว่าการอ่าน White Paper ในบางครั้งอาจจะทำความเข้าใจยากสักเล็กน้อย เพราะเป็นภาษาอังกฤษที่ใช้คำเฉพาะทาง ศัพท์ทางเทคนิค รวมไปถึงศัพท์สแลงต่าง ๆ ที่ใช้เฉพาะในแพลตฟอร์มนั้น ทำให้เราต้องอ่านอย่างละเอียดเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ

การรู้จักทีมผู้สร้าง

ทีมผู้สร้างส่วนใหญ่แล้วมักประกอบไปด้วย นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software developer) เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าทีมนี้จะสามารถทำงานได้ดีหรือไม่ เราควรต้องรู้จักและศึกษาบุคคลในทีมนั้นด้วยว่ามีประสบการณ์มากแค่ไหน มีความเป็นมืออาชีพมากแค่ไหนในการทำงานครั้งนี้ เช่น มีตัวตนหรือไม่ เคยทำงานในสายงานไหน เคยทำโปรเจกต์ไหนมาก่อนหรือไม่ แล้วโปรเจกต์ที่แล้วเป็นอย่างไร ซึ่งรายชื่อทีมผู้สร้างควรถูกเขียนอยู่ในทั้ง White Paper และบนหน้าเว็บไซต์

รูปที่ 1 ทีมผู้สร้างเหรียญที่มีตัวตนจริง และมีความสามารถ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้นักลงทุนได้ว่าจะไม่โดนหลอกลวง
รูปที่ 1 ทีมผู้สร้างเหรียญที่มีตัวตนจริง และมีความสามารถ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้นักลงทุนได้ว่าจะไม่โดนหลอกลวง

ดูความเคลื่อนไหวของ Community

ชุมชน หรือ community เราสามารถเข้าร่วมกลุ่มใน Discord หรือ Telegram ของเหรียญนั้น ๆ เพื่อดูว่ามีจำนวนคนในกลุ่มมากแค่ไหน เพราะแสดงถึงจำนวนคนที่สนใจในเหรียญนั้น มีการพูดคุยกันในเรื่องไหนบ้าง เป็นการพูดถึงเรื่องที่ดี หรือเรื่องที่ไม่ดี ทีมหรือผู้ดูแลมีการสื่อสารกับคนในกลุ่มบ่อยและดีแค่ไหน

การศึกษา Road Map

Road Map จะบ่งบอกถึงว่าตอนนี้ตัวโปรเจกต์ของเหรียญในตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว โดยอาจจะแบ่งเป็นระยะ เป็นช่วง หรือเป็นไตรมาส เช่น ระยะที่ 1 จะประกอบไปด้วย 4 ไตรมาส ในแต่ละไตรมาสจะมีการทำ 1 2 3 4 ไปตามลำดับ เป็นเหมือนไทม์ไลน์ หากตัวโปรเจกต์สามารถทำตาม Road Map ได้ตามที่เขียนไว้ (ทำได้ครบ และตรงเวลา) ก็เป็นแนวโน้มที่ดีของเหรียญนั้น

ชื่อเสียงของตัวโปรเจกต์

เชื่อเสียงในที่นี้อาจจะต้องดูควบคู่กับส่วนของ ทีมผู้สร้าง และผู้ใช้งานเหรียญนั้นว่าเป็นใครบ้าง หากทีมผู้สร้างเป็นคนที่มีชื่อเสียง มีความสามารถ หรือมีผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการถือครองเหรียญนั้นอยู่ ก็สามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนคนอื่นได้ว่าจะไม่ใช่การหลอกลวง และช่วยดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น

ความเข้าใจ Tokenomic

Tokenomic ในที่นี้หมายถึง การทำงานของระบบเหรียญนั้น เหรียญเอาไปใช้งานอะไรในระบบได้บ้าง การไหลเวียนของเหรียญในระบบ เป็นต้น และนี่คือสิ่งที่นักลงทุนสายพื้นฐานต้องดูเป็นพิเศษ

  • จำนวนเหรียญหมุนเวียนในระบบ (Circulating Supply) คือ เหรียญทั้งหมดที่มีการถือครองไว้ หรือ พร้อมซื้อขายในตลาดทั้งหมด โดยจะไม่รวมเหรียญที่ถูกสำรอง หรือล็อคเอาไว้
  • จำนวนเหรียญทั้งหมด (Total Supply) คือ จำนวนเหรียญทั้งหมดในตลาด รวมไปถึงเหรียญที่ถูกล็อคอยู่ ลบกับ จำนวนเหรียญที่ได้เคยมีการเผาทำลายไปแล้ว
  • จำนวนเหรียญสูงสุด (Max Supply) คือ จำนวนเหรียญทุกเหรียญที่เคยเกิดขึ้น มีอยู่ และกำลังจะเกิดขึ้น (ที่ยังไม่ได้ถูกขุด หรือ มิ้นท์ขึ้นมา)

จำนวนทั้งสามจำนวนส่งผลต่อราคาเหรียญในหลายๆช่วง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักลงทุนสายพื้นฐานต้องทำความเข้าใจเอาไว้

การดูราคาในอดีต

การดูราคาในอดีต เป็นเหมือนการดูงบการเงิน หรือผลประกอบการของหุ้น ช่วยให้นักลงทุนรู้ได้ว่าช่วงเวลาไหนเกิดอะไรขึ้นบ้าง และรู้ได้ว่าความสนใจในตัวเหรียญนี้เป็นอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้ยังสามารถรู้ได้ว่าเหรียญนี้กำลังโต หรือกำลังตาย ตัวอย่างเช่น หากมีช่วงหนึ่งที่ราคาพุ่งขึ้นสูง และดิ่งลงมา และไม่เคยฟื้นตัวอีกเลยในช่วงหลายเดือนหรือหลายปี ก็เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

7 ข้อที่เราได้บอกไปเป็นแต่เบื้องต้นเท่านั้น เราต้องการการศึกษาต่อให้ลึกลงไปอีก และยังมีนอกเหนือจากที่เราได้บอกไปอีก เพราะฉะนั้นคนที่จะเลือกเป็นสายพื้นฐานต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง มาดูกันเลย


คุณสมบัติของนักลงทุนสายพื้นฐาน

ชอบอ่าน

เพราะอย่างที่บอกว่าต้องอ่านและศึกษา White Paper ของโปรเจกต์เหรียญนั้นๆ ซึ่งแต่ละโปรเจกต์เหรียญก็มีจำนวนหน้าไม่เท่ากัน น้อยบ้าง เยอะบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ใช้เวลาอ่านพอสมควรเลยทีเดียว ในบางครั้งอาจจะต้องอ่านมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อทำความเข้าใจ

ชอบสงสัย

เพราะคุณต้องตั้งคำถามในตัวโปรเจกต์เยอะๆ สงสัยให้เยอะ และหาคำตอบให้ได้ พยามหาข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวโปรเจกต์ ทีม หรืออื่นๆที่เชื่อมโยงกับตัวโปรเจกต์ เมื่อเจอสัญาณบางอย่างที่น่าสงสัย หรือ ผิดปกติ ก็ควรจะหาคำตอบให้ได้ หากหาไม่ได้ ก็ควรจะออกห่างจากเหรียญนั้นไป

ชอบรอ

เพราะการลงทุนที่อาศัยปัจจัยพื้นฐานจำเป็นต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง อาจจะเป็นเดือน หรือหลายปี จนกว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างชัดเจน และจะได้กำไรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และถ้าหากว่าวิเคราะห์ได้ไม่ดี หรือเกิดเหตุการณ์เกินควบคุมบางอย่าง การลงทุนหลายปีอาจจะไม่มีกำไร และขาดทุนก็เป็นได้


นักลงทุนสายเทคนิค คืออะไร?

รูปที่ 2 นักลงทุนสายเทคนิคใช้การดูกราฟราคา และใช้ Indicator ต่าง ๆ ในการเทรด
รูปที่ 2 นักลงทุนสายเทคนิคใช้การดูกราฟราคา และใช้ Indicator ต่าง ๆ ในการเทรด

นักลงทุนสายเทคนิค (Technical analysis) คือการเทรดลงทุนโดยใช้กราฟ (chart) ราคาในการประเมินในการหาจุดเข้าซื้อขายเพื่อทำกำไร โดยจะอาศัยการสังเกตสถิติของพฤติกรรมราคาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนเป็นรูปแบบที่กำหนดได้ว่า หากกราฟราคากำลังแสดงรูปแบบนี้ คาดการว่าต่อไปราคาจะเป็นอย่างไร รวมไปถึงสังเกตแนวโน้ม (Trend) ของราคาด้วยเช่นกัน

ควบคู่กับการใช้เครื่องมือวัดดัชนีต่าง ๆ (Indicator) ที่ใช่ช่วยในการวิเคราะห์หลาย ๆ มิติ เพื่อช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเทรด เช่น การดูประมาณการซื้อขาย (Trading Volume), ค่าเฉลี่ยราคาเคลื่อนที่ (Exponential Moving Average) เป็นต้น โดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐานทุกอย่างเหมือนกับนักลงทุนสายพื้นฐาน

Indicator ที่ได้รับความนิยมในการใช้เทรดส่วนใหญ่แล้วมีดังนี้

RSI (Relative Strength Index)

RSI คือตัวชี้วัดในการบอกราคาว่ามีกำลังซื้อเท่าไหร่ มากเกินไป หรือน้อยเกินไปในตลาด โดยหลักการใช้คร่าว ๆ คือ

  • หากเส้น RSI สูงกว่า 70 คือมีกำลังซื้อมากเกิน มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลง
  • หากเส้น RSI ต่ำกว่า 30 คือมีกำลังซื้อน้อยเกิน มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้น
  • หากเส้นอยู่ในระดับ 30-70 ถือว่าปกติ สามารถปรับตัวขึ้น ลง หรือ ทรงตัวก็ได้

MACD (Moving Average Convergence Divergence)

MACD คือ ตัวชี้วันที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา จะประกอบไปด้วยเส้น 2 เส้น หลักการใช้คร่าว ๆ คือ

  • หากเส้นตัดกันที่จุดต่ำกว่า center ในลักษณะขาขึ้น มีแนวโน้มที่ราคาจะขึ้น (สัญญาณเข้าซื้อ)
  • หากเส้นตัดกันที่จุดเหนือ center ในลักษณะขาลง มีแนวโน้มที่ราคาจะลง (สัญญาณขาย)
รูปที่ 3 ตัวอย่าง Indicator MACD ที่แสดงแนวโน้มการแกว่งของราคา
รูปที่ 3 ตัวอย่าง Indicator MACD ที่แสดงแนวโน้มการแกว่งของราคา

EMA (Exponential Moving Average)

EMA คือ เป็นการคำนวณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของราคาย้อนหลัง โดยให้ความสำคัญกับราคาสุดท้าย (ราคาปิด) มากที่สุด อาจจะมีการตั้งค่าให้มี 2 เส้น หรือ 3 เส้นก็ได้ หลักการใช้คร่าว ๆ คือ

  • หากเส้น EMA ตัดกันในลักษณะขาขึ้น และกราฟราคาอยู่เหนือทั้งสองเส้น เป็นสัญญาณเข้าซื้อ
  • หากเส้น EMA ตัดกันในลักษณะขาลง และกราฟราคาอยู่ล่างทั้งสองเส้น เป็นสัญญาณขาย

นอกจากนี้ยังมี Indicator อื่น ๆ อีกเช่น Bollinger Bands, Fibonacci, Stochastic Oscillator เป็นต้น แต่ *** Indicator ที่กล่าวมา จำเป็นต้องมีการตั้งค่าภายใน (setting) ให้เหมาะสม ควบคู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะเวลาในการแสดงราคา (Time Frame) นักลงทุนควรศึกษาแต่ละ Indicatior ให้รอบคอบ ***


คุณสมบัติของนักลงทุนสายเทคนิค

ช่างสังเกต

การใช้ Indecator แต่ละตัวจะมีสิ่งที่เรียกว่า สัญญาณ (signal) ต่างกัน นอกจากที่นักลงทุนต้องรู้สัญญาณของแต่ละตัวแล้ว ยังต้องมองให้ออกด้วยว่าสัญญานั้นออกมาแล้วหรือยัง และเป็นสัญญาณจริง หรือ สัญญาณหลอก

ช่างวางแผน

ในการเทรดแบบเทคนิคแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นการเทรดระยะสั้น หลักวัน สัปดาห์ หรืออาจจะ 1 เดือน การเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา กลยุทธ์ในการเทรด การวางแผนเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าราคาไม่ได้เป็นตามที่เราคาดการ แผนต่อไปของเราคืออะไร

ช่างมันเถอะ

ในการเทรดสายเทคนิค ความถี่ในการเทรดอาจจะมากกว่าแบบพื้นฐาน หมายถึงมีโอกาสเทรดได้กำไรในจำนวนครั้งที่มากกว่า แต่ในทางกลับกันโอกาสในการเทรดแพ้ก็เพิ่มมากขึ้นเหมือนกัน เมื่อแพ้แล้วให้ช่างมัน การนั่งเสียใจไม่ช่วยอะไร แต่ช่างมันในที่นี้ ต้องมีการทบทวนสิ่งที่ทำพลาดด้วย

สรุป

เราคงสรุปไม่ได้ว่าแต่ละสายใครเก่งกว่ากัน เพราะแต่ละสายมีคุณสมบัติของนักลงทุนที่ต่างกัน รูปแบบการลงทุนต่างกัน แต่ละสายมีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่พ่ายแพ้ การหารูปแบบการลงทุนให้เหมาะกับตัวเองคือสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะทำให้เรารอดในตลาดแล้ว จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนได้อีกด้วย

ไม่ว่าจะเลือกทางเดินไหน ย่อมมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งสิ้น นักลงทุนต้องทำการศึกษาเและเรียนรู้ให้มากและตลอดเวลา บทความนี้เป็นแค่เบื้องต้น คุณสมบัติ และ Indicator ต่าง ๆ ที่เราได้ยกตัวอย่างมาเป็นแค่ผิวเผิน ยังมีเรื่องอีกมากมายที่นักลงทุนต้องรู้ ซึ่งเราจะค่อย ๆ ทยอยนำเสนอในแต่ละเรื่อง

อ้างอิง

https://zipmex.com/th/glossary/total-supply/

https://www.investopedia.com/analyze-crypto-6456223

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *