เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนต้องการที่จะมีเงินเพียงพอในการใช้ชีวิต และมากพอที่จะตอบสนองไลฟ์สไตล์ของตัวเองให้ได้ในสักวัน และคงสงสัยว่า คนรวยหลาย ๆ คน เขารวยได้อย่างไร พวกเขาเหล่านั้นกลายเป็น บุคคลผู้ประสบความสำเร็จจาก Crypto จนกลายเศรษฐีได้อย่างไร
ในบทความนี้ เราจะมาเล่าเรื่องราวของ บุคคลผู้ประสบความสำเร็จจาก Crypto จนกลายเป็นเศรษฐีจากการลงทุนในคริปโทเคอเรนซี พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นคนปกติธรรมดามา มีงานประจำ และเงินเดินพอใช้ชีวิตในแต่ละเดือน แต่พวกเขามองเห็นบางอย่างในการลงทุนในคริปโทเคอเรนซี เรื่องราวการกลายเป็นเศรษฐีของก็ได้เริ่มขึ้นจากตรงนั้น
Rachel Siegel (ครูทดแทน ผู้กลายเป็นเศรษฐี)
เรื่องราวก่อนความรำ่รวยของ Rachel Siegel เธอเคยเป็นครูทดแทนของโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งในเมืองนิวยอร์ก อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์เล็ก ๆ มืด ๆ ที่หน้าต่างห้องหันเข้าหากำแพงอิฐ การเดินทางของเธอเริ่มต้นขึ้นในปลายปี 2017 เมื่อเพื่อนคนหนึ่งชวนเธอไปงาน after party ของการประชุมคริปโทเคอเรนซี แห่งหนึ่ง
“ฉันจำได้ว่าเดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยผู้ที่ชื่นชอบคริปโทเคอเรนซี และฉันไม่เคยอยู่ในห้องที่มีผู้คนหลงใหลและมีไฟขนาดนี้มาก่อน”
“พูดตามตรงเลยว่าในตอนที่เริ่มลงทุนในตอนแรกนั้น ฉันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ”
“ฉันเป็นเพียงครูทดแทนคนนี้ที่มีความคิดที่ยิ่งใหญ่”
นั่นคือตอนที่ Siegel วัย 29 ปี ตัดสินใจลงทุนครั้งแรกในคริปโทเคอเรนซี โดยนำเงินที่เหลือจากเช็คเงินเดือนของเธอไปลงทุน ซึ่งโดยปกติจะอยู่ที่ 25 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ แม้ว่าเธอจะปฏิเสธที่จะให้ตัวเลขที่แน่นอน แต่การลงทุนของเธอให้ผลกำไรถึงเจ็ดหลักต้น ๆ เลยทีเดียว เป็นตัวเลขที่มากมายเกินกว่าเงินเดือนครูทดแทนที่เธอเคยมี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันเปลี่ยนนิสัยการใช้เงินของเธอ
แต่ตอนนี้อพาร์ทเม้นท์ใหม่ของเธอ ไม่ใช่วิวกำแพงอิฐอีกต่อไป แต่เป็นวิวทะเลแคริบเบียน ที่ซึ่งเธอสามารถดื่มด่ำทัศนียภาพอันกว้างไกลของมหาสมุทรได้จากระเบียงส่วนตัวของเธอ และไปเที่ยวรอบโลกแทนการไปโรงเรียนเพื่อเป็นครูทดแทน
“ในตอนแรกมันเป็นเรื่องน่ากลัวที่จะออกจากแหล่งรายได้ประจำ (เงินเดือนครู) แต่มีโอกาสมากมายอยู่ที่นี่ (คริปโทเคอเรนซี)”
“สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับคริปโทเคอเรนซีคือใคร ๆ ก็ทำได้ และฉันก็หนึ่งในอีกคนที่ทำได้”
ตอนนี้ Siegel ทำงานเต็มเวลาในเป็น คริปโทเคอเรนซีอินฟลูเอนเซอร์ โดยใช้นามแฝงว่า “CryptoFinally”
Kane Ellis (อดีตวัยรุ่นพนักงานบริษัทเทคโนโลยี)
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 เขาเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายอายุ 18 ที่ลาออกกลางเทอม และหันหน้าเข้าสู่การทำเหมือง หรือการขุดเหรียญคริปโทเคอเรนซี ด้วยการดัดแปลงคอมพิวเตอร์ของตัวเองให้สามารถเป็นอุปกรณ์ที่ยืนยันธุรกรรมบน Blockchain ได้
ในช่วงที่เขาเริ่มขุดในตอนแรกนั้น เขาขุดได้เพียง 4 Bitcoin ต่อวัน (ณ เวลานั้น 1 Bitcoin = $2) รวมแล้วได้ประมาณ $8 ต่อวัน
“ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นการลงทุน ผมเพียงแค่มองว่าคอมพิวเตอร์ของผมสามารถทำเงินให้ผมได้”
“ในตอนที่ผมอายุ 18 ผมคิดว่าแค่นี้ก็ถือว่าเป็นกำไรที่เจ๋งมากแล้ว แต่หลังจากผ่านไป 6 เดือน ผมก็คิดว่านี่แหละ คืออนาคตของผม”
เขาเคยได้พูดติดตลกล้อเลียนตัวเองไว้ว่า รู้สึกว่าตัวเองโง่มาก ๆ ที่เคยจ่าย 4 Bitcoin เป็นค่าแมคโดนอล 1 มื้อในตอนนั้น ถ้าเขายังคือถือ 4 Bitcoin นั้นไว้ ตอนนี้มันจะมีมูลค่า $150,000 หรือประมาณ 4.9 ล้านบาท (ณ วันที่ให้สัมภาษณ์)
เมื่ออายุได้ 29 ปี เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Carswap ตลาดซื้อขายรถออนไลน์ และเขาได้เอากำไรที่ได้จากการขาย Bitcoin มาซื้อรถรถหรูที่เขาชื่นชอบอย่าง Maserati GranTurismo
“คริปโทเคอเรนซีช่วยให้ผมมีชีวิตที่ดีขึ้น ผมสามารถเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองได้ ผมสามารถใช้ชีวิตอย่างที่ผมใฝ่ฝันมาตลอด”
“ในฐานะคนรักรถ การได้ซื้อรถในฝันอย่าง Maserati MC Sportline ตั้งแต่อายุ 24 ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว”
เขาได้ทิ้งคำแนะนำของเขาสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ไว้ว่า
“ถือ Bitcoins ไว้ อย่าคิดว่าเป็นการลงทุนระยะสั้น เพราะจริง ๆ แล้วมันเป็นระยะยาว 2 5 หรือ 10 ปี”
Terrance Leonard (ทหารเรือ กับบ้านในฝัน)
เขาได้เริ่มเข้าสู่ตลาดคริปโทเคอเรนซีเป็นครั้งแรกในปี 2013 ขณะที่ทำงานเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ แต่ว่าการงานของเขาไปได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ผมเป็นเด็กเนิร์ด เรื่องคริปโตเลยเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผมมาก ๆ แต่มันยากมากในตอนนั้น มันเหมือนกับอยู่ในดินแดนที่ไม่รู้จัก เพราะในตอนนั้นมันไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากนัก และผมกังวลผมจะต้องเสียเงินของผมทั้งหมดไป”
ดังนั้นเขาจึงได้หายไปจากวงการคริปโทอยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งปี 2019 เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของเขาที่คลั่งไคล้ในคริปโท ได้อธิบายรายละเอียดของตลาดให้กับเขาในระหว่างที่กำลังทานมื้อกลางวันกัน ทำให้เขาตัดสินใจที่จะกลับเข้ามาในวงการอีกครั้งด้วยเงิน $2,000
หลังจากนั้นเขาก็ได้ลงทุนไปเรื่อย ๆ เป็นหลักหมื่นดอลลาร์ โดยหลัก ๆ แล้วเขาจะลงทุนในเหรียญ Ethereum ส่วนเหรียญเล็ก ๆ เช่น Unibright ซึ่งก็ทำให้มูลค่าการลงทุนของเขาพึ่งขึ้นไปแตะหลักล้านดอลลาร์เลยดีเดียว
“มันเป็นเส้นทางที่พาผมไปสู่ อิสรภาพทางการเงิน”
เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ขายเหรียญออกมาบางส่วน เพื่อดาวน์บ้านขนาด 4 ห้องนอนในวอชิงตัน ดี.ซี. บ้านใหม่ของเขามีโรงรถส่วนตัว และพื้นที่สนามหญ้าสำหรับสุนัขของเขา ลีโอนาร์ดซึ่งอาศัยอยู่คนเดียว และได้เกษียณตัวเองจากการทำงานไปเมื่อปีที่ผ่านมา
“ตัวผมในตอนเด็กคงจะดีใจ และตื่นเต้น ที่จะได้เห็นว่าตัวเองในอนาคตนั้นเป็นแบบนี้”
Lea Thompson (อดีตพนักงานบริษัทเทคโนโลยี)
ลิเอ ทอมสันอาศัยอยู่ในเมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา เธอได้ยินเกี่ยวกับคริปโทเคอเรนซีเป็นครั้งแรกเมื่อตอนที่เธอได้ไปหาเพื่อนเธอที่เป็นนักขุดเหรียญอยู่ ณ ตอนนั้น
“ฉันจะไปที่อพาร์ทเม้นท์ของเขา และดูอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พวกนี้ และคิดว่า
‘นี่นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่?’ ”
จนกระทั่งในปี 2017 เธอได้เข้าสู่โลกของ Blockchain แม้ว่าในตอนนั้นเธอจะทำงานเป็นเซลล์ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่เธอรู้สึกว่ายังทำเงินได้ไม่พอ เธอจึงเริ่มเข้าสู่ Blockchain และคริปโทเคอเรนซี่ในฐานะ งานเสริม ซึ่งก็มีงานงานบางงานที่จ่ายค่าแรงเธอเป็นเหรียญคริปโท
“ฉันเริ่มพบปะผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ทำงานในวงการนี้ และการได้เห็นความตื่นเต้นของพวกเขาที่มองตลาด มันช่วยกระตุ้นและเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันจริง ๆ”
เธอใช้เงินลงทุนประมาณ $500 ถึง $1,000 ในการซื้อเหรียญ Bitcoin และ Ethereum ในทุก ๆ เดือน และมีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียมากกว่า 2 แสนคน แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกตัวเลขที่แน่นอนว่าเธอมีมูลค่าการลงทุนของเธอคือเท่าไหร่ แต่ Bitcoin มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่านับตั้งแต่ที่เธอได้ถือ Bitcoin ไว้เยอะ ๆ
ผลกำไรของเธอเพียงพอสำหรับที่จะลาออกจากงานด้านเทคโนโลยี และกลายเป็นคริปโทเคอเรนซีคอนเท้นครีเอเตอร์แบบเต็มเวลาแทน และใช้ชื่อว่า “Girl Gone Crypto” เนื้อหาเกี่ยวกับ Blockchain และคริปโทเคอเรนซี ในรูปแบบ Edu-tainment หรือคือการนำเสนอเนื้อหาที่มีสาระ และบันเทิงไปพร้อมกัน
“ฉันรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อออกจากงานประจำ เพื่อมาลงแรงให้กับเรื่องนี้ได้อย่างไม่จำกัด”
“คริปโตได้เปลี่ยนชีวิตของฉันไปโดยสิ้นเชิง เป็นเรื่องดีจริง ๆ ที่สามารถใช้เงินได้ตามต้องการ
อย่างเช่น การไปนวดทุกสัปดาห์”
Erik Fineman (อดีตนักเรียน ม.ปลายดรอปเรียน)
ย้อนกลับไปในปี 2011 เมื่อ Bitcoin มีมูลค่า $12 ต่อ 1 Bitcoin เขาได้ยืมเงิน $1,000 จากคุณย่าของเขาและเงินช่วยเหลือนิด ๆ หน่อย ๆ จากพี่ชายในตอนที่เขามีอายุได้ 11 ปี เขาก็ลงทุนใน Bitcoin และในช่วงท้ายของปี 2013 เมื่อมูลค่าของ Bitcoin สูงขึ้นเป็น $1200 ต่อ 1 Bitcoin เขาก็เหมือนตกถังข้าวสารเลยทีเดียว
ภายในเดือนมกราคม 2015 เขามีบริษัทที่มีธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาเป็นของตัวเอง และเขาขายบริษัทการศึกษาของเขา และได้ถูกยื่นข้อเสนอว่าจะเลือกรับเป็นเงินสด $100,000 หรือเลือกรับเป็น 300 Bitcoin แน่นอนว่าเขาเลือกรับเป็น 300 Bitcoin
เขาประสบความสำเร็จและกลายเป็นเศรษฐีตัวน้อยเมื่อตอนอายุเพียง 18 ปี และเขาเลือกที่จะไม่ไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เขาบอกว่าเขามีความสุขกับการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง อย่างไรก็ตาม เขายังคงยุ่งอยู่กับโปรเจกต์ต่าง ๆ มากมายของเขา รวมถึงการมีส่วนร่วมกับ NASA ในบางเรื่องอีกด้วย
“ผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า ผมทำได้แล้วจริง ๆ และผมจะไม่ไปเรียนต่อมหาลัย”
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น รวมกับความเข้าใจในการทำธุรกิจ ช่วยให้เขามีทุกวันนี้ได้
สรุป
การเดินทาง เงื่อนไขชีวิต และโอกาสของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การทำตามผู้ที่ประสบความสำเร็จไม่ได้การันตีความสำเร็จที่เหมือนกันเสมอไป บุคคลที่ได้ยกตัวอย่างไป ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เป็นคนธรรมดา แต่พวกเขามีเป้าหมาย และเส้นทางที่จะก้าวเดินอย่างชัดเจน เมื่อเวลาเหมาะสมมาถึง พวกเขาก็ได้แบ่งบานตามที่พวกเขาต้องการ
สิ่งที่เราต้องการจะสื่อก็คือ ทุกคนมีช่วงเวลาเบ่งบานเป็นของตัวเอง เพียงแค่เดินบนเส้นทางของตัวเอง ไม่ใช่เส้นทางของคนอื่น แล้ววันหนึ่งจะถึงดวลาของคุณเอง
อ้างอิง
https://nypost.com/2022/02/05/how-cryptocurrency-made-these-four-ordinary-people-rich/
https://www.amazon.com/Story-Bitcoin-Billionaire
https://www.cnbc.com/2017/06/20/bitcoin-millionaire-erik-finman
"เริ่มต้นอย่างช้าๆ แต่ชัดเจน"
ให้เราได้ดูแลคุณ...
eaforexcenter.com