ในโลกของการลงทุนใน Cryptocurrency เต็มไปนักลงทุนหลายล้านคน ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะมีลักษณะหลายๆอย่างที่ไม่มีเหมือนกัน แต่เราสามารถแบ่งประเภทของนักลงทุนเป็นกลุ่มๆได้ แล้วอยากรู้ไหมว่า นักลงทุน Crypto แบบไหนที่เป็นคุณ ถ้าอยากรู้แล้ว ไปตามอ่านกันในบทความนี้ได้เลย
นกไม่กลัวกิ่งไม้หัก ไม่ใช่มันมั่นใจในกิ่งไม้ แต่มันมั่นใจในปีกของมัน
การแบ่งประเภทของนักลงทุนในบทความนี้เราขอใช้เกณฑ์ 2อย่าง คือ
- แบ่งตามขนาดของพอร์ทการลงทุน
- แบ่งตามและรูปแบบการลงทุน
หมายเหตุ : ทั้งสองเกณฑ์ไม่ได้บ่งบอกถึงความสามารถในการลงทุนของนักลงทุนแต่อย่างใด
แบ่งตามขนาดของพอร์ทการลงทุน
หมายถึงประมาณเงินที่มีอยู่พอร์ทหรือกระเป๋าของนักลงทุน โดยนับเป็นจำนวนเหรียญสกุล BTC (Bitcoin) เหตุผลที่ใช้จำนวน BTC เป็นตัวเกณฑ์การแบ่งเพราะว่า BTC มีสัดส่วน MarketCap ใหญที่สุดในตลาด ส่วนกระเป๋าจะแบ่งตามประเภทสัตว์น้ำในมหาสมุทร ไล่ไปตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่
ระดับ 1 แพลงตอน น้อยกว่า 0.05 BTC
ระดับ 2 กุ้ง : น้อยกว่า 1 BTC
ระดับ 3 ปู : 1-10 BTC
ระดับ 4 ล็อบสเตอร์ : 10-50 BTC
ระดับ 5 ปลาดาบ : 50-100 BTC
ระดับ 6 หมึกยักษ์ : 100-500 BTC
ระดับ 7 ฉลามขาว : 500-1,000 BTC
ระดับ 8 วาฬเพชฌฆาต : 1,000-5,000 BTC
ระดับ 9 วาฬสีน้ำเงิน : 5,000 BTC ขึ้นไป
ถ้าใครที่มีเหรียญ BTC ในกระเป๋าไม่เยอะ แต่เมีเหรียญอื่นๆอยู่เยอะก็ลองตีมูลค่าพอร์ททั้งหมดเป็น USDT และลองเทียบมูลค่า BTC ดูว่าพอทร์ทของเราจะมีมูลค่าเท่ากับกี่ BTC ใครที่ยังน้อยอยู่ก็อย่าได้น้อยใจตัวเองหรืออิจฉาคนอื่น แต่ละคนเริ่มต้นเดินทางลงทุนไม่เท่ากัน คนที่เริ่มก่อน อาจจะหลายๆปีที่แล้ว ก็มีโอกาสได้ซื้อ Bitcoin ในราคาถูกและได้ปริมาณเยอะกว่า
การจะมีสัก 1BTC ในปัจจุบันอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับบางคน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากเราตัดสินใจเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่ตอนนี้ ถึงแม้จะด้วยเงินทุนไม่เยอะ ก็สามารถมี 1BTC แรกได้ด้วยการศึกษาและฝึกฝนด้านการลงทุน เก็บประสบการณ์และเงินไปพร้อมกัน
แบ่งตามรูปแบบการลงทุน
บางคนอาจจะกำลังเพิ่งเริ่มลงทุน ยังไม่มีรูปแบบหรือสไตล์การลงทุนเป็นของตัวเอง ซึ่งไม่เป็นไร แต่เชื่อหรือไม่ว่า หากเราค้นพบรูปแบบการลงทุนที่ใช่ตามนิสัยของตัวเอง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนได้มาก รวมถึงเพิ่มกำไรของเราได้ด้วย จะมีรูปแบบไหนบ้าง ไปตามอ่านกันต่อได้เลย
1.นักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐาน (Valued Investor)
ส่วนใหญ่แล้วจะเรียกว่า นักลงทุนสาย VI ถึงเหรียญ Crypto จะไม่มี PE Ratio ไม่มีตัวเลขทางการเงินที่เป็นผลประกอบการหรือรายรับรายจ่ายเหมือนกับหุ้น แต่ก็มีปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ เช่น เหรียญนี้สร้างมาเพื่ออะไร การใช้งานเป็นอย่างไร มีระบบนิเวศของเหรียญเป็นอย่างไร ในอนาคตมีโอกาสเติบโตหรือไม่ Rodmap มีอะไรบ้าง ทีมผู้พัฒนาเป็นใคร ที่กล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งของอีกหลายๆเรื่องที่นักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานต้องหาข้อมูลแล้วเอามาวิเคราะห์
ตัวอย่างนักลงทุนสาย VI เช่น วอร์เรน บัฟเฟต์ หรือในประเทศไทย เช่น คุณพรศักดิ์ อุรัจฉัทชัยรัตน์ และ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่ถึงแม้ท่านเหล่านี้จะอยู่ในวงการหุ้น แต่เราสามารถนำแนวคิดต่างๆมาปรับใช้กับการลงทุนใน Cryptocurrency ได้
2.นักลงทุนสายเทคนิค (Technical Analysis)
ในการลงทุนสายเทคนิค จะเป็นการใช้กราฟราคาเป็นตัวกำหนดการลงทุน โดยจะดูจากรูปแบบของกราฟที่ปรากฏออกมา และทำการวิเคราะห์ด้วยตัวชี้วัดค่าต่างๆ (Indicator) ผสมกันเพื่อหาแนวโน้มของราคาว่าจะขึ้นไปที่เท่าไหร่ หรือลงไปที่เท่าไหร่ โดยจะมีนำปัจจัยพื้นฐานต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้อง
หลายคนให้ความสนใจกับการลงทุนสายเทคนิคเพราะส่วนใหญ่แล้วการลงทุนสายเทคนิคจะเป็นการลงทุนระยะสั้น สามารถทำกำไรได้ในระยะเวลาตั้งแต่ 1นาที ขึ้นไปเลย แต่แน่นอนว่าไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เพราะเราจำเป็นต้องศึกษาตลาด และรูปแบบกราฟต่างๆอย่างจริงจัง เพราะอย่างที่บอกว่ากราฟและ Indicator ต่างๆบอกแค่สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นจริงเสมอไป ต้องอาศัยประสบการณ์และการจัดการความเสี่ยงที่ดี
3.นักลงทุนสายผสม (Hybrid)
จะเป็นการผสมระหว่างแบบ VI และแบบเทคนิคดูกราฟ โดยจะดูจากปัจจัยพื้นฐานก่อนว่าเหรียญมีศักยภาพหรือปัจจัยอะไรบ้างที่สามารถทำให้ราคาสูงขึ้นไปอีกได้ หรืออาจจะใช้ข่าวต่างๆเข้ามาประกอบ และวิเคราะห์ต่อด้วยเทคนิคกราฟในเวลานั้นเพื่อหาความเป็นไปได้ของราคา ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นอะไรที่ลงตัว แต่เราก็ต้องทำการบ้านหนักกว่าสองเท่า เพราะต้องศึกษาทั้งเรื่องปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค เพื่อนำสองอย่างมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการเลือกซื้อเหรียญที่ดีในเวลาที่เหมาะสม
4.นักลงทุนสาย DCA (Data Cost Average)
นักลงทุนทุนสาย DCA จะเป็นการลงทุนแบบ Passive Invesment คือการที่จะลงทุนในเหรียญที่เราเลือกไว้ ในระยะเวลาที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ ในจำนวนเงินที่เท่าเดิมทุกครั้ง โดยไม่สนใจว่าราคา ณ วันที่เราจะทำการ DCA นั้นจะเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น เราเลือก DCA ในเหรียญ BTC ทุกเดือน เดือนละ $100 สมมุติว่าเดือนที่แล้ว 1BTC = $19,000 เดือนนี้อยู่ที่ 25,000 ก็ต้องซื้อ
โดยส่วนใหญ่แล้วการลงทุนแบบ DCA จะเหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาในการลงทุน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยเพิ่มวินัยในการลงทุนได้ดี ระหว่างทางอาจมีการขาดทุนบ้างกำไรบ้าง แต่ในระยะยาวแล้วจะเป็นกำไร แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยการศึกษาเรื่องปัจจัยพื้นฐานเข้ามาด้วย ไม่งั้นการ DCA ของเราอาจกัดกินเราไปเรื่อยๆ
5.นักลงทุนสายตามกระแส
พูดง่ายคือจะลงทุนตามอะไรก็ตามแต่ที่ “เขาบอกว่าดี” โดยไม่มีการนำข้อมูลปัจจัยพื้นฐานและไม่ใช้เทคนิคการวิเคราะห์กราฟเข้ามาช่วย โดยอาจจะได้ยินจากเพื่อนบอกว่าให้ลงทุนตัวนี้สิ หรือ มีการพูดถึงเหรียญตัวนี้บ่อยๆในโซเชียลเราเลยซื้อตามเพราะคิดว่ามันจะราคาขึ้น หรืออาจจะเป็นช่องทางไหนก็ตามแต่ แต่เราไม่ได้นำสารที่ได้มานั้นไปหาข้อมูลต่อ
ฟังดูแล้วเหมือนเป็นรูปแบบการลงทุนที่ไม่ดีเท่าไหร่ ซึ่งมันก็ไม่ดีจริงๆนั่นแหละ การได้ยินข่าวสารมาและลงทุนเลยโดยไม่มีการหาข้อมูลต่อเป็นนิสัยที่นักลงทุนที่ดีไม่ควรทำ หากใครที่ยังอยู่ในรูปแบบนี้ หรือมีแนวโน้มการลงทุนแบบนี้เราแนะนำให้ค่อยๆใช้วิธีแบบอื่นที่กล่าวไปเข้ามาช่วย โดยเฉพาะการนำการลงทุนแบบ VI มาใช้
สรุป
นักลงทุนหนึ่งคนสามารถมีรูปแบบการลงทุนได้หลายแบบ แต่ก่อนอาจจะเป็นแบบใช้เทคนิคดูกราฟ แต่ตอนนี้มาใช้แบบ VI หรือแต่ก่อนเคยเป็น VI ตอนนี้เปลี่ยนเป็นดูกราฟ หรือตอนนี้เป็นดูกราฟและ DCA ไปด้วยก็ได้ แต่ไม่ว่าเราจะเป็นนักลงทุนสายไหนก็ตาม การมีความรู้เรื่องการบริหารความเสี่ยง และการบริหารการเงิน เป็นทักษะจำเป็นที่นักลงทุนที่ดีต้องมีติดตัว เมื่อที่พบสไลต์การลงทุนของตัวเองแล้ว มีการจัดการความเสี่ยงแล้ว เราก็พร้อมสำหรับการสร้างกำไรอย่างมั่นคงให้กับตัวเอง
"เริ่มต้นอย่างช้าๆ แต่ชัดเจน"
ให้เราได้ดูแลคุณ...
eaforexcenter.com