Cryptocurrency แม้จะเป็นสิ่งที่พึ่งถูกคิดค้นและสร้างขึ้นในเมื่อไม่นานมานี้ ยังไม่ถึง 20 ปี เลยด้วยซ้ำไป แต่ในช่วงเวลาตั้งแต่ที่มันเกิดขึ้นมา ได้มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นมากมาย เราอาจจะเรียกได้ว่าเป็นพัฒนาการ หรือเทรนด์ในแต่ละช่วงเวลาของ Cryptocurrency ก็ว่าได้
ประวัติศาสตร์ Crypto หรือ Crypto currency นั้นเราสามารถแบ่งได้เป็นยุค แต่มีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่จะเกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว บางยุคอาจจะอยู่เป็นปีๆ แต่บางยุคอาจจะมีช่วงรุ่งโรจน์ของมันแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะยุคไหนก็ช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนให้ Blockchain และ Cryptocurrency ได้ก้าวไปข้างหน้าตลอด
เรามาดูกันดีกว่าว่า Cryptocurrency มีกี่ยุค และแต่ละยุคมีอะไรบ้าง โดยจะแบ่งตามไทม์ไลน์ ตั้งแต่เกิด Bitcoin จนถึงปัจจุบัน
ยุคก่อนกำเนิด Bitcoin
หลายคนอาจจะคิดว่า Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่แรกของโลก แต่เปล่าเลย ก่อนหน้าการเกิดของ Bitcoin ได้มีการสร้างและใช้งานสกุลเงินดิจิทัลมาก่อนแล้ว โดยหนึ่งในความพยายามครั้งแรกในการสร้างเงินดิจิทัล เกิดขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เจ้าของปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งเหนื่อยกับการถูกปล้นตลอดเวลา ปัญหาร้ายแรงมากจนมีคนออกไอเดียว่าจะเก็บเงินไว้ในบัตรสมาร์ทการ์ดน่าจะปลอดภัยกว่า และแจกให้กับเจ้าของบริษัทขนส่งสินค้าที่เป็นลูกค้าหลักของปั๊มน้ำมัน สามารถนำเงินไปใส่ในบัตรเหล่านี้และมอบให้กับคนขับได้ และคนขับก็จะจ่ายค่าน้ำมันด้วยบัตรแทน หลังจากนั้นก็ได้มีการสร้างสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆออกมาเพิ่มเติมคือ
Digicash
ในปี 1981 David Chaum นัก Cryptographer ชาวอเมริกัน ได้ตีพิมพ์บทความชื่อว่า “Traceable E-mail, Reverse Addresses and Digital Aliases” ในบทความนี้ Chowm ได้อธิบายถึงระบบการชำระเงินดิจิทัลที่ไม่ระบุตัวตน ต่อมาในปี 1989 Chaum ได้สร้างสกุลเงินดิจิทัล “DigiCash” ที่ใช้งานได้ตามโปรโตคอลของเขา เป็นการปฏิวัติเทคโนโลยีที่ทำให้โลกมีแนวคิดเรื่อง “blind signature” ที่กลายมาเป็น “Private Key” และ “Public Key” ในปัจจุบัน
B-Money
10 ปีหลังจาก DigiCash ได้ถูกปล่อยออกมา นักพัฒนาชื่อ Wei Dai ได้เขียนบทความชื่อ “B-money: anonymous distributed electronic payment system” ที่เป็นรากฐานของแนวคิดการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) แต่แม้ว่า B-Money จะยังไม่ดีเท่ากับเทคโนโลยี Blockchain ในปัจจุบัน และเองโปรเจกต์ยังไม่ได้สร้างจนสำเร็จ แต่ก็ได้กลายมาเป็นแนวคิดรากฐานของ Proof-of-Work และ DeFi ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
Bit Gold
Nick Sabo ผู้เชี่ยวชาญด้าน Crypto และเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ ได้พัฒนา Proof-of-Work มาอย่างยาวนานสำหรับแนวคิด Bit Gold ของเขา ซึ่งปัจจุบันได้ถูกนำใช้กับสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ Bit Gold ช่วยทำให้ภาพของการเงินแบบกระจายศูนย์ เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นจน Satoshi Nakamoto ได้หยิบเอาแนวคิดนี้มาใช้สร้าง Bitcoin ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ Bit Gold มากๆจนทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าจริงๆแล้ว Nick Sabo คือ Satoshi Nakamoto หรือเปล่า แต่ข้อสันนิษฐานนั้นก็ได้ถูกลบล้างไป เพราะเจ้าตัวเป็นคนปฏิเสธเองว่าไม่ใช่
ยุค Bitcoin
หลังจากการเกิดของสกุลเงินดิจิทัลในยุคแรก ต่อมาคือยุคของ Bitcoin ที่เราไม่ได้จัดให้ Bitcoin อยู่รวมกับยุคแรกเพราะว่า ถึงแม้จะมีสกุลเงินดิจิทัลก่อนหน้า Bitcoin แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และการยังงานยังไม่แพร่หลาย
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เกิดวิกฤตด้านการเงินและเศรษฐกิจต่อเนื่องไปจนถึงปี 2009 ที่เรารู้จักกันในเชื่อ “Sup-Prime Crisis” หรือ “Hamberger Crisis” เป็นวิกฤตที่เกี่ยวกับการที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อและการกู้ยืมให้กับบุคคลที่ทั่วไปที่มีเครดิตต่ำกว่าเกณฑ์ ในการไปซื้ออสังหาฯในสมัยนั้น และด้วยปัจจัยหลายๆอย่างทำให้ มีอสังหาฯถูกปล่อยทิ้งร้าง เกิดหนี้เสียมากมาย ผลกระทบเป็นโดมิโน่ในวงกว้าง
ด้วยเหตุนั้นเอง Satoshi Nakamoto จึงได้ใช้แนวคิดและพัฒนาเทคโนโลยีจากยุคก่อนมา จนได้สร้าง Bitcoin เพื่อหวังว่างจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหานั้น แต่หลักคือเป้าหมายหลักในการสร้าง Bitcoin คือ การแลกเปลี่ยนและซื้อขายสิ่งต่างๆโดยไม่มีตัวกลาง และมีรายละเอียดอื่นๆอีกที่สามารถแก้ปัญหาทางการเงินในปัจจุบันได้
ยุค Altcoin
หรือ “Alternative Coin” แปลว่า เหรียญทางเลือก หรือ เหรียญตัวเลือก เป็นชื่อที่เอาไว้ใช้เรียกเหรียญอื่นๆทั้งหมดที่ไม่ใช่ Bitcoin เหรียญ Altcoin เหรียญแรกที่เกิดขึ้นมาคือ Ethereum (ETH) เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2015
โดย Altcoin ที่มีขนาด Market Cap ใหญ่ที่สุดคือ Etheruem (ETH) เหรียญเดียวกินสัดส่วนในตลาด Cryptocurrency ถึง 1/4 หรือประมาณ 20% (1.60 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ) เหรียญ Altcoin Crpyto อื่นๆรวมกันอยู่ที่ประมาณ 40% ส่วน Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 40% (3.73 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ)
10 อันดับ เหรียญ Altcoin ที่มีความนิยม และ Maket Cap ใหญ่ที่สุดในตลาด
- Ethereum (ETH) มูลค่า Market Cap 1.60 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
- Binance Coin (BNB) มูลค่า Market Cap 4.70 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
- XRP (XRP) มูลค่า Market Cap 2.58 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
- Cadano (ADA) มูลค่า Market Cap 1.42 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
- Solana (SOL) มูลค่า Market Cap 1.16 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
- Dogecoin (DOGE) มูลค่า Market Cap 8.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- Polkadot (DOT) มูลค่า Market Cap 7.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- Polygon (MATIC)มูลค่า Market Cap 7.11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- Shiba Inu (SHIB) มูลค่า Market Cap 5.93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- Tron (TRX) มูลค่า Market Cap 5.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
**ข้อมูล ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2565
ยุค Defi Yeild Farming
เป็นยุคที่มาหลังจากยุค Altcoin ไม่กี่ปี แต่ความพิเศษของยุคนี้คือมีลูกเล่นและการใช้งานที่เพิ่มขึ้น เราสามารถนำเหรียญสกุลต่างๆไปใช้งานอย่างอื่นได้มากขึ้นนอกจากการซื้อขายในกระดานหรือตลาดตามปกติ โดยหลักของยุคนี้การทำสิ่งที่เรียกว่า “Farming”
Yeild Farming คืออีกรูปแบบของการทำกำไรในโลก Cryptocurrency คือการฝากเงินสกุลต่างๆในแพลตฟอร์ม Defi ซึ่งเราเปรียบเสมือน “ผู้ให้บริการสภาพคล่อง” หรือ “Liquidity Provider” ที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์มนั้นในการเอาเหรียญที่ฝากไปใช้งานอย่างอื่นภายในระบบต่อ เช่น ปล่อยกู้ หรือสำหรับแลกเงิน และเราจะได้รับรางวัล หรือเราอาจจะเรียกว่าดอกเบี้ยเป็นเหรียญสกุลเงินของแพลตฟอร์มนั้นที่เราจะเรียกว่า Governance Token หรืออาจจะเป็นเหรียญอื่นในเปอร์เซ็นต์ตามที่หน้าแพลตฟอร์มแสดงไว้
แพลตฟอร์ม Defi Farming ที่ได้รับความนิยม
ยุค Game-Fi (P2E)
ยุค Game-Fi อีกยุคหนึ่งที่ทำให้คนทั่วไปเข้าสู่โลก Cryptocurrency ได้ง่ายขึ้น ยุคก่อนหน้านี้ดูเป็นอะไรที่ซับซ้อน ยากเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำความเข้าใจได้ แต่เมื่อมาในรูปแบบเกมแล้วทำให้ดูเข้าถึงง่ายกว่า และเป็นมิตรกับคนที่จะเข้ามาใหม่ได้ง่ายกว่า
เพราะด้วยคำว่า “Play to Earn” (P2E) หรือจะแปลว่า “เล่นเพื่อรับเงิน” ทำให้สื่อสารออกไปได้ง่ายว่าเล่นแล้วได้เงิน ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ บางเกมเราแทบไม่ต้องทำอะไรเลยเพียงแค่เข้าเกมและปล่อยให้เกมเล่นตัวมันเองและรอรับรางวัล แต่บางเกมเราก็ต้องเป็นคนลงมือเล่นเอง ซึ่งรางวัลหรือเงินที่เราจะได้นั้นจะอยู่ในรูปแบบของเหรียญที่จะใช้ในเกม หรือบางทีก็เป็น Governance Token ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาไปใช้ในเกมต่อ หรือจะเอาไปขายในตลาดเพื่อทำกำไรก็ได้
นอกจากรางวัลที่เป็นเหรียญหรือ Governance Token แล้ว รางวัลของบางเกมก็มาในรูปแบบ NFT ด้วยเช่นกัน อาจจะเป็นไอเทมต่างๆ ตัวละคร สกิล อุปกรณ์ หรืออื่นๆ แต่ NFT เหล่านั้นก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า Rarity หรือระดับความหายาก ยิ่งมีระดับ Rarity มีแปลว่ายิ่งหายาก และสามารถขายได้รราคาสูงกว่าทั่วไป และนี่คือตัวอย่าง 3 Game-Fi ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
StepN
เป็นเกมจากฝั่ง Binance Chain ที่เปิดตัวออกมาช่วงกลางเดือนมีนาคมปี 2022 และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอยู่ระยะหนึ่งด้วยคอนเซ็ปต์ “Move to Earn” ขยับเพื่อสร้างเงิน เพราะว่าเกมนี้เกี่ยวกับการวิ่ง สามารถเล่นในโทรศัพท์มือถือได้ โดยเราต้องเลือกซื้อรองเท้าที่มีหลายประเภท เช่น เดิน จ็อกกิง วิ่ง นักกีฬา แต่ละประเภทก็จะมีระดับ Rarity เมื่อมีรองเท้าในเกมแล้ว เราก็ออกวิ่งหรืออกเดินได้เลย
โดยระบบจะจับระยะทางจาก GPS ว่าเราวิ่งหรือเดินไปเป็นระยะทางเท่าไหร่แล้ว และจะแสดงรางวัลเป็นจำนวนเหรียญี่เราจะได้รับออกมาให้ เราสามารถเอาเหรียญรางวัลนั้นไปซื้อของเพื่อแต่งให้รองเท้าเราสามารถรับเหรียญได้เยอะขึ้นได้ หรือว่าจะเลือกขายเป็น Stablecoin เลยก็ได้ เหรียญที่ใช้ในเกมนี้คือ Solana (SOL), USDC, GST
Defikingdom
เป็นเกมแนว RPG 8bit เหมือนกับเกม Ragnarok ถ้าคุณรู้จัก แต่ความพิเศษของมันคือมันอยู่บนโลก Defi และไม่มีมีแค่ตัวเกมอย่างเดียว แต่เหมือนยก Dex มาใส่ไว้ในเกมด้วย เราสามารถแลกเปลี่ยนเหรียญที่จะภายในตัวเกมได้เลย รวมไปถึง Marketplace หรือตลาดซื้อขาย NFT ก็สามารถทำได้ภายในตัวเกม ไม่ต้องออกไปทำข้างนอก โดย Defikinfdom เปิดตัวมาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2021 อยู่บน Harmony Chain
ภายในตัวเกมเราต้องเลือกซื้อตัวละครที่มีหลากหลายอาชีพ และแต่ละตัวมีความสามารถต่างกัน ไปเมื่อทำภารกิจต่างๆเพื่อรับรางวัล แต่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก นอกจากนี้เรายังสามารถทำ Yield Farming ได้ในเกมเลยเพราะอย่างที่บอกไปว่า Dex อยู่ในเกมด้วย ทำให้เกมดูมีหลายมิติมากขึ้น และเราสามารถซื้อขายตัวละคร หรือจะผสมตัวละครเพื่อให้ได้ตัวใหม่ที่เก่งขึ้น หายากขึ้น และนำไปขายได้ เหรียญที่ใช้ในเกมนี้คือ ONE, JEWEL และเหรียญอื่นๆที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ในเกม
Axie Infinity
เป็นเกมต่อสู้แนว Trun Based ตัวเกมอยู่บน Ethereum Chain ได้เริ่มต้นสร้างเมื่อเดือน มีนาคม 2018 และมีการพัฒนามาเรื่อยๆจนปล่อยเวอร์ชันอัลฟาออกมาได้เมื่อปี 2019 เป็นเกมที่สามารุเล่นได้ทั้งโทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ PC
วิธีการเล่นเกมนี้คือเราต้องซื้อตัวละครน่ารักที่เรียกว่า Axie อย่างน้อยจำนวน 3ตัว ต่อ 1ทีม ซึ่งตัว Axie จะมีหลายเผ่าให้เราเลือกมาจับคู่ทีมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อไปทำภารกิจต่างๆและรับรางวัล นอกจากนี้ยังสามารถไปต่อสู้กับผู้เล่นคนอื่นได้ด้วย เป็นเกมที่ต้องใช้ความคิดและการวางแผนที่ดี เหรียญที่ใช้ในเกมนี้คือ AXS, SLP
NFT
ยุค NFT เป็นยุคที่สอดคล้องกับยุค Game-Fi เพราะใน Game-Fi นั้น พวกตัวละคร อุปกรณ์ต่างๆนั้นก็จะอยู่ในรูปแบบ NFT ที่สามารถซื้อขายกันได้ใน Maeketplace ต่างๆ แต่ NFT ในยุคนี้จะมีความเป็นศิลปะมากยิ่งขึ้น จะเริ่มมาในรูปแบบรูปภาพ รูปถ่าย เพลง ภาพเคลื่อนไหว วิดีโอ หรืออะไรก็ตามที่ผู้สร้าง หรือศิลปินคนนั้นคิดว่ามันคือศิลปะ
ยุค NFT นี้เองก็เป็นตัวช่วยให้คนทั่วไปเข้ามาโลก Cryptocurrency ได้ง่ายขึ้นมากกว่ายุคที่ผ่านมา เพราะมีความซับซ้อนน้อยกว่า หลายๆอย่างได้พัฒนาให้มีการใช้งานที่ง่ายต่อผู้ใช้ที่เป็นผู้สร้าง และผู้ซื้อ เหมือนกับการซื้อขายของออนไลน์ที่เราคุ้นชินกัน
โปรเจกต์ NFT มีหลายระดับ ตั้งแต่ศิลปิน 1คน กับจำนวนผลงานหลักร้อยชิ้น ไปจนถึงทีมศิลปินหรือบริษัทระดับโลกกับจำนวนผลงานหลักหมื่นชิ้น ในบางโปรเจกต์ NFT เป็นมากกว่าชินงานศิลปะ แต่เป็นเหมือนบัตรผ่านหรือสิทธิพิเศษบางอย่างให้กับผู้ที่ซื้อและถืออยู่ เช่น ได้ส่วนลดในการซื้อของ ได้ที่นั่งพิเศษ ได้เข้าชมงานฟรี หรืออื่นๆ
10 อันดับ โปรเจกต์ NFT ที่มีมูลค่าซื้อขายมากที่สุด
- Bored Aed Yacht Club
- CLONE X
- Veefriends
- Otherdeed for Otherside
- Genuine Undead
- Kitaro World
- OptiPunks
- Mutana Ape Yacht Club
- Pudgy Penguins
- Cool Cats
**ข้อมูล ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2022
ยุค Metaverse
“จักรวาลนฤมิต” คือคำที่ราชบัณฑิตยสภาได้เพิ่มเป็นคำใหม่เข้ามา แต่เราอาจจะรู้จักกับอีกชื่อว่า “โลกเสมือนจริง” ที่แปลความหมายมาจาก Metaverse ในยุคนี้เป็นยุคที่มีความเชื่อมโยงกับ NFT และ Game-Fi เพราะจะดึงสิ่งที่อยู่ในสองยุคนั้นเข้าไปอยู่ใน Metaverse
Metaverse คือสถานที่ที่จะทำให้เราได้รับประสบการณ์ใหม่ในการท่องโลก Defi แทนที่จะเป็นการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์แล้วเลื่อนดูสิ่งต่างๆ แต่เราสามารถเดินเข้าไป หรือเห็นสิ่งต่างๆได้เหมือนที่เราเห็นในโลกจริง หากใครยังนึกภาพไปออก สิ่งที่นิยาม Metaverse ได้ดีที่สุดในตอนนี้คือภาพยนตร์เรื่อง Ready Player One และเรื่อง Free Guy ที่ต้องสวมแว่นตา VR (virtual reality) ถึงจะเห็นสิ่งต่าง ๆในโลกเสมือน
ตอนนี้เหล่าผู้พัฒนาก็ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี Metaverse อยู่ตลอด ในตอนนี้ได้มีการปล่อยให้ซื้อที่ใน Metavers แล้ว ผู้ที่ซื้อไปสามารถใช้พื้นที่นั้นสร้างสรรค์อะไรก็ได้ จะเอา NFT ของตัวเองใส่ใส่หรือตกแต่งยังไงก็ได้ ตอนนี้บริษัทใหญ่ๆหลายเจ้าได้กระโดดเข้ามาในโลก NFT และกำลังจับตามองแนวโน้มของ Metaverse อยู่เช่นกัน
สรุป
ถึงแม้เราจะแบ่งเป็นแต่ละยุค แต่ไม่ได้หมายความว่ายุคที่ผ่านไปแล้วจะสลายหายไป ทุกอย่างยังคงอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ได้รับความนิยมน้อยลง ทุกอย่างยังคงเกื้อหนุนกัน เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อน Blockchain ถึงแม่ว่ายุคก่อน Bitcoin จะไม่ได้มีบทบาทอะไรแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในโลก Cryptocurrency ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
“เทคโนโลยีจะถูกพัฒนาไปในทางไหน ต่อไปจะเป็นยุคอะไร เป็นเรื่องที่เราต้องติดตามกันต่อไป
อ้างอิง
https://medium.com/hashmart-blog/the-history-of-first-cryptocurrencies-before-bitcoin-6eccebca152a
Pingback: นักลงทุน Crypto แบบไหนที่เป็นคุณ - EaForexCenter
Pingback: วิธีสร้างรายได้จาก DeFi - Cryptocurrency - EaForexCenter
Pingback: 5 อันดับ Hardware Wallet ยอดนิยม สิ้นปี 2023 !! - EaForexCenter